เทศน์บนศาลา

ธรรมะลักไก่

๗ ก.ค. ๒๕๕๖

 

ธรรมะลักไก่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ เราปรารถนากัน เรามากันเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม บำเพ็ญเพียรประพฤติปฏิบัติเพื่อคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีของใจนะ ใจเราถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เราไม่ต้องเร่ร่อน แล้วเราจะไม่เชื่อใคร เราจะเชื่อสัจธรรมในหัวใจของเรา ถ้าในใจของเรามีสัจธรรม มันมีที่พึ่งที่อาศัยของมันมันอยู่ของมันนะ

เวลาจิตใจของเรามีกิเลสครอบงำอยู่นี่เวียนว่ายตายเกิดเวียนว่ายตายเกิดนะ เราเกิดมาในชาติปัจจุบัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เราเกิดเป็นมนุษย์นะ มีศักยภาพมาก มีศักยภาพเพราะอะไร เพราะมนุษย์มีสมอง มีปัญญาดูสิ เวลาคนในตะวันตกเขา เขาปฏิเสธสังคม เขาก็ไปสร้างสังคมเล็กๆ ของเขาอยู่เขาปฏิเสธเทคโนโลยีต่างๆนะ เขาไม่ใช้อะไรเลย นั่นน่ะ เขาก็มีวาสนาของเขานะเพราะเขาคิดของเขาได้ เขาคิดของเขาได้ว่าเขาอยู่กับโลก โลกก็เท่านั้นแหละ แต่เขาหาความสุขความสงบจากหัวใจของเขาดีกว่า แต่เขาอยู่ของเขาโดยอย่างนั้นด้วยเป็นกลุ่มชนของเขา

แต่ของเรานะ เราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนนะสอนเรื่องหัวจิตหัวใจ เรื่องน้ำจิตน้ำใจของคน แล้วน้ำจิตน้ำใจของเรา เรามีสติเรามีปัญญาของเราเราแสวงหา คนเขาจะแข่งขันทางโลกขนาดไหนมันเรื่องของเขามันเรื่องของเขาเราทำหน้าที่การงานของเราเพื่อสัมมาอาชีวะของเรา แล้วเรามีเวลาเหลือของเรา เราจะมาประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าใครเห็นภัยในวัฏสงสาร ออกประพฤติปฏิบัติด้วยความจริงจังเลย ออกบวชพระมา ออกบวชมาออกบวชมาเพื่อมีเป้าหมาย มีเป้าหมายเพื่อพ้นจากทุกข์ ถ้าคนมีเป้าหมายเพื่อจะพ้นจากทุกข์นะ ชีวิตของเรามันจะกระเหม็ดกระแหม่มันไม่เห็นสิ่งใดมีคุณค่าไปกว่าการประพฤติปฏิบัติหรอก มันไม่เห็นสิ่งใดมีคุณค่านะ

สมัยพุทธกาลนะ ฉัพพัคคีย์ๆ เวลาเขาบวชมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัยข้อใดขึ้นมาก็แล้วแต่ เขาจะมีปัญหาไปหมดเลยเขามีปัญหาไปทั้งนั้นน่ะ เพราะเขาบวชมาเขาไม่มีเป้าหมาย

แต่เวลาคนที่เขาทุกข์เขายากมา พระกัสสปะ เขาไม่มีโอกาสได้บวชเลย เขาตั้งใจของเขา อธิษฐานนะเวลาพ่อแม่อยากให้มีครอบครัวไปพอมีครอบครัว ก็บุญวาสนาของคนเขาไปเจอภรรยาภรรยาก็คิดเหมือนกัน พอคิดเหมือนกันนะตกลงกันว่าเราจะอยู่ในนาม เป็นสามีภรรยาในนาม แต่เราจะประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน เอาดอกไม้ตั้งไว้บนหัวนอน เราจะประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน ถึงเวลานะ อยู่จนพ่อแม่เสียชีวิตไป ทรัพย์สมบัตินั้นแจก แจกชาวบ้านเขา แล้วแยกออกไป แยกออกไป ภรรยาไปบวชเป็นภิกษุณี พระกัสสปะมาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระแสวงหาโมกขธรรม มาบวชเมื่อแก่ ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กรรมฐาน เข้าป่าเข้าเขาไปประพฤติปฏิบัติของพระกัสสปะทำความเป็นจริงเพราะเขามีจุดมุ่งหมายไง ถ้ามีจุดมุ่งหมาย ความดำรงชีวิตของเราไอ้เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยมันแค่หล่อเลี้ยงชีวิตนี้เท่านั้นน่ะ

แต่เวลาฉัพพัคคีย์ๆ เวลามีกิจนิมนต์ๆ เวลามีกิจนิมนต์ไป เวลาพระภิกษุที่จัดกิจนิมนต์ เขาจัดไปนะ จัดทีไร พอตกเวรของฉัพพัคคีย์ได้คนทุกข์คนจนไปกินแต่ข้าวกับน้ำผักดองเท่านั้นน่ะ ก็มีความอคติในใจ มีความอคติในใจว่า เขารังแกเรา เขากลั่นแกล้งเรา เขาเจตนาของเขา คิดไปร้อยแปดไง เพราะว่าเป้าหมายของเขาเขาอยู่แค่นั้นเอง นี่ปัจจัยเครื่องอาศัยมีน้ำหนักที่ทำให้จิตใจกวัดแกว่งเร่ร่อนได้

แต่ถ้าคนมีเป้าหมายในการประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์นะ สิ่งดำรงชีวิตปัจจัย ๔ เป็นของเล็กน้อยมาก ของเล็กน้อยมากเพราะเรามีเป้าหมาย เป้าหมายเราใหญ่โตมากนะ เป้าหมายของเรา เราจะพ้นจากทุกข์ให้ได้ ถ้าพ้นจากทุกข์ให้ได้เรามีสติมีปัญญาของเรา เราดูแลของเรา แล้วพยายามหล่อเลี้ยงน้ำใจอันนี้ไว้หล่อเลี้ยงน้ำใจอันนี้ไว้ ถ้ามีเป้าหมายนี้หล่อเลี้ยงน้ำใจไว้ เพราะเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วเวลากิเลสมันเข้มข้นขึ้นมา กิเลสมันตื่นนอนขึ้นมานะมันฟาดงวงฟาดงาในใจของเรามันล้มลุกคลุกคลานไปหมดน่ะทั้งๆ ที่เรามีเป้าหมายของเราแล้วแต่เรามีเป้าหมายของเรา ศรัทธาดำรงศรัทธาอันนี้ไว้ ดำรงความเชื่อมั่นของเราไว้ แล้วเราปฏิบัติตามความเป็นจริง เราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรานะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา

เวลาเราเกิดมาในโลกนี้เขาบอกว่าเขาต้องมีการศึกษา ต้องมีปัญญาของเรา เราก็มีการศึกษา มีปัญญาของเราแล้ว ศึกษา ปัญญาของเรามันเป็นภาคปริยัติเป็นการศึกษาการศึกษามาศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติถ้าเวลาศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาปฏิบัติต้องวางการศึกษานั้นไว้เวลาเรามีความคิดทางวิทยาศาสตร์ เราบอกว่า ถ้าเราจะทำสิ่งใด เราต้องมีความรู้ เราต้องศึกษาของเราให้มาก ถ้าศึกษาแล้วเราจะไม่หลงทาง

แต่เวลาเราศึกษามาแล้วเราปฏิบัติด้วยการศึกษา มันเป็นปริยัติ พอไปปฏิบัติ เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น ท่านศึกษามาจนเป็นมหา เวลาเป็นมหาแล้วก็ยังสงสัยว่าถ้าปฏิบัติไปแล้วมรรคผลมันจะมีจริงหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ศึกษาเรื่องมรรคเรื่องผลนี่แหละแต่เวลามันจะปฏิบัติจริงๆ ขึ้นมา มันก็มีความกังวล มีความกังวลว่ามันจะมีจริงหรือเปล่า มีความจริงหรือเปล่า นี่พอกิเลสมันจะเอาจริงเอาจังขึ้นมานะ มันต่อรองเราไปตลอดแหละ ถึงตั้งสัจจะว่า ถ้าไปหาครูบาอาจารย์องค์ใดครูบาอาจารย์องค์ใดชี้มรรคชี้ผลให้เราหมดความสงสัย จะถืออาจารย์องค์นั้นเป็นที่พึ่ง

ไปหาหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นท่านก็เล็งญาณของท่านไว้แล้วล่ะเวลามาหา “มหามาหาอะไร มาหามรรคผลนิพพานใช่ไหม มรรคผลนิพพานไม่ได้อยู่บนดินฟ้าอากาศไม่ได้อยู่บนภูเขาเลากา ไม่ได้อยู่บนวัตถุสิ่งใดเลยมรรคผลนิพพานถ้ามันอยู่ มันจะอยู่ในหัวใจของคน”

เวลาท่านศึกษามา ศึกษามาจนเป็นมหา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุนะ สาธุจริงๆ เราต้องศึกษามา พอศึกษาแล้ว ปฏิบัติต้องวางไว้ๆ ถ้าไม่วางไว้ มันจะเตะมันจะถีบกัน เวลาปฏิบัติมันจะมีปัญหากัน ฉะนั้นเวลาปฏิบัติถึงวางไว้ เห็นไหมถ้าเราจะปฏิบัติเราศึกษามาศึกษามาต้องวางไว้

ทีนี้เราศึกษามา ศึกษามาแล้ววางทำไมล่ะ

เพราะศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นข้อเท็จจริงในการปฏิบัติของเรา แต่ถ้าเราศึกษามาเป็นสัญญา มันเป็นสัญญา เป็นความจำมา นี่มันเป็นมรรคผลนิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นทางเดินขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้รื้อสัตว์ขนสัตว์เราไปศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาอริยสัจขึ้นมาก็เพื่อจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา แต่ด้วยกิเลสของเรา นี่กิเลสมีบทบาทแล้วเวลากิเลสเข้ามาในหัวใจของเราเราศึกษาสิ่งใดมามันก็ว่ามันรู้มันเห็นของมันหมด เห็นไหม

เวลาธรรมะเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไปลักไก่เราจะไปช่วงชิงเอามาเป็นความจริงของเรา มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีอยู่จริงไง มันเป็นไปไม่ได้หรอกมันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราศึกษามาก็เพื่อเป็นแนวทาง เราศึกษามาเพื่อสื่อสารกัน เราศึกษามา แบบว่าเขาเผยแผ่ธรรมๆมันต้องมีการศึกษาต่างๆ...ใช่ต้องมีการศึกษาแต่ธรรมะเวลาปริยัติแล้วต้องปฏิบัติ เวลาปฏิบัติ เราต้องวางไว้ ถ้าเราวางขึ้นมา เพราะเวลาเราทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบ สงบจากสัญญาอารมณ์มันก็จะสงบเข้ามาสัญญาอารมณ์ไงสงบจากอารมณ์ความรู้สึกต่างๆแล้วความรู้สึกนึกคิดมันเป็นอารมณ์ไหมศึกษามา ถ้ากิเลสของเรามันไปยึดมั่นถือมั่น มันเป็นของเราไหม กิเลสมันลักไก่ไง มันลักไก่ว่าสิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนี้เป็นของเรา

ถ้าลักไก่มาแล้วมันว่าเป็นของเรา แล้วธรรมะลักไก่มามันไม่ใช่ของเราหรอก มันเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ถ้ามันบอกเป็นของเรา ศึกษามาแล้วมีความรู้มีความเข้าใจ มันก็เป็นปริยัติ ศึกษามาเพื่อทางวิชาการ ถ้าวิชาการแล้วศึกษามามันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ของเรา ถ้าของเราไม่มี มันมีบุญกุศลไหม เราทำทานยังมีบุญกุศลเลย เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีบุญกุศลไหม มันมีบุญกุศลด้วย แล้วมันได้บุญด้วย ได้บุญที่ไหน เวลาศึกษาขึ้นมาแล้วมันเข้าใจ มันซาบซึ้งๆๆ จิตใจมันก็ผ่องแผ้ว จิตใจผ่องแผ้ว เพราะจิตใจผ่องแผ้ว แต่มันไม่ใช่ปฏิบัติธรรม

ถ้าปฏิบัติธรรม มันมีตบะมันมีความเพียรมันมีตบะธรรมคนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรความวิริยะ ความอุตสาหะ แล้วการศึกษามันไม่ใช่ความเพียรหรือการศึกษาต้องอ่านหนังสือ ต้องดูหนังสือ ต้องวิเคราะห์ต้องวิจัยต้องแปล แปลธรรมะทั้งหมดเลย มันเป็นความเพียรไหม

เป็นความเพียร ความเพียรในขั้นของการศึกษา ความเพียรมาเพื่อให้เรามีความรู้ แล้วความรู้นี้มันเกิดจากใครล่ะ ความรู้มันเกิดจากภวาสวะเกิดจากภพ เกิดจากกิเลส เกิดจากตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเกิดจากตัณหาความทะยานอยากแล้วถ้าเราจะพ้นจากทุกข์ ทำอย่างไรล่ะ

จะพ้นจากทุกข์ต้องปฏิบัติแล้วปฏิบัติ จะปฏิบัติเริ่มต้นที่ไหนล่ะ ปฏิบัติจะเริ่มต้นที่ไหนปฏิบัติเริ่มต้นเราต้องทำความสงบของใจ เวลาครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านทำความสงบของใจ

พระกัสสปะ เวลาบวชมาเมื่อแก่ เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กรรมฐานไป ถือธุดงควัตรถือด้วยความเข้มข้น เข้มข้นเพราะอะไร เพราะมีเป้าหมายไง ถ้าเรามีเป้าหมาย เราบวชโดยมีเป้าหมายเราประพฤติปฏิบัติโดยมีเป้าหมายนะ สิ่งปัจจัยเครื่องอาศัยจะเป็นปัญหารองเลยแต่ถ้าเราปฏิบัติของเราโดยเราไม่ดูแลรักษาศรัทธาของเรา มันจะติดขัดไปหมดติดขัดไปหมด

เวลามันอ้าง กิเลสมันอ้างนะ “เราจะออกธุดงค์ เราก็ต้องมีกลด เราต้องมีบริขารของเราตามความพอใจของเรา” อันนั้นถึงเวลาแล้วเดี๋ยวหาให้ได้ เดี๋ยวหาให้มี แต่เวลาเราจะออกธุดงค์ มันไพล่ไปเรื่องบริขาร ถ้าไปเรื่องบริขารนะ มันก็เรื่องปัจจัย ๔ ทั้งนั้นน่ะ ถ้าปัจจัย ๔ถ้าเรามีสติปัญญาเดี๋ยวถ้าเราจะออกธุดงค์ เราค่อยหาสิ่งนั้นก็ได้ตอนนี้จะเข้าพรรษา เราเอาจริงเอาจังของเราถ้าเอาจริงเอาจังของเรานะ เราตั้งสติเลย ตั้งสติ เห็นไหม สิ่งที่มันมาปลุกเร้าใจ นู่นก็ขาดแคลน นี่ก็อยากได้ บริขารยังไม่สำเร็จ

บริขาร ดูพระเรามันมีวินัยแม้แต่ผ้าขาดแค่เม็ดถั่วเขียวผ่านได้ ถ้าอรุณขึ้น รู้ในวันนี้ ไม่ปะชุนในวันนี้ อรุณขึ้นขาดครอง นี่ต้องรักษา แม้แต่ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็ต้องรักษา แต่รักษาไว้ใช้ในปัจจุบันนี้อย่าให้กิเลสมันฉุดกระชากลากไปข้างหน้า ถ้ามันฉุดกระชากลากไป โน่นก็จำเป็น นี่ก็จำเป็น...วางไว้ถึงเวลาเราจะใช้เราจะออกธุดงค์เราหาของเราได้เรามีของเรา ถ้าบวชมามันก็มีพร้อมมาอยู่แล้วแต่มันก็ต้องคิดออกไปอย่างนั้นน่ะ นี่เวลากิเลสมันออก มันออกอย่างนี้ไง

เวลามันบอก เราจะปฏิบัติเราก็ต้องมีความพร้อมทุกอย่างแล้วเวลามีความพร้อมแล้ว ความพร้อมเราก็หามาหาบริขารทุกอย่างพร้อมหมดเลย บริขารพร้อมบริขาร ๘ พร้อมแล้ว จะออกธุดงค์แล้ว เวลาออกธุดงค์ไปแล้ว ต้องออกธุดงค์ไปเพื่ออะไร ออกธุดงค์ไปเพื่อรักษาใจของเรา ออกธุดงค์ไปเพื่อค้นคว้าใจของเรา

ออกธุดงค์ไป เวลาที่ไหนมันมีที่ชุ่มชื่น ที่ไหนมันเป็นที่ปลอดโปร่ง เราจะอยู่ที่นั่นเพื่อประพฤติปฏิบัติของเราเวลาประพฤติปฏิบัติของเราเอาใจไว้อยู่ไหมล่ะ ออกธุดงค์มาแล้วเราเอาใจอยู่ไหม ถ้าออกธุดงค์มาแล้ว ธุดงค์เพื่ออะไร เพื่อหาใจเรา ถ้าหาใจเรา พุทโธได้ไหมปัญญาอบรมสมาธิได้ไหม ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันมีความอบอุ่นมีความอบอุ่นนะเราอยู่ได้สุขสบายมาก แต่ถ้าจิตใจเวลากิเลสมันฟื้นตัวขึ้นมา มันน่ากลัวไปหมด มันเสียวไปหมดเวลาเราอยู่วัดอยู่วาของเรา อยู่กับหมู่คณะ เราก็บิณฑบาตมา เราก็มีปัจจัยเครื่องอาศัยสมบูรณ์ เวลาออกธุดงค์มา เราต้องแสวงหาของเราเอง มันวิตกกังวลไปหมด สิ่งที่วิตกกังวล นี่สัญญาอารมณ์

เราออกมาเพื่ออะไรล่ะ เราออกมาเพื่อความสงบระงับ เราออกมาเพื่อค้นหาใจของเรา ถ้าทำจิตให้สงบได้ มีสมาธิขึ้นมา ถ้ามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา สิ่งนี้สิ่งที่เราออกปฏิบัติๆ ปริยัติเรียนมาศึกษามามันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราจะลักไก่มาเป็นของเราไม่ได้ถ้าเราจะลักไก่ นี่ธรรมะลักไก่มา

ถ้าจิตใจของเรามีกิเลสอยู่กิเลสมันลักไก่มาโดยที่เราไม่รู้ตัวถ้ากิเลสลักไก่มาพอเราศึกษา เราปฏิบัติไป ถ้าพุทโธๆ พอใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไป อ๋อ! จิตสงบมันเป็นแบบนี้ นี่มันเริ่มสงบมา มันปล่อยวางมา แต่มันยังไม่ชัดเจน สมาธิมันไม่มั่นคง เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น ถ้าสมาธิเราถ้าจิตเราสงบ

กิเลสมันฉลาด มันเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาล่อลวงเราด้วย มันบังเงาๆ กิเลสมันบังเงา เวลาเราชื่นใจ จิตใจเราอบอุ่นทำสิ่งใดดีไปหมดเลย จะนั่งสมาธิที่ไหนมันก็สงบได้จะทำเมื่อไหร่มันก็จะดีไปหมด จิตใจเราจะดีงามไปหมดเลย เวลากิเลสมันเป็นปกติของมัน เวลามันลักไก่นะ กิเลสมันลักไก่ มันก็อ้างอิงแล้ว อ้างอิงธรรมะเป็นอย่างนั้นธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ มันลักไก่ว่าเป็นของเรา มันเป็นจริงไหมล่ะ กิเลสมันแก่นของกิเลส มันก็อาศัยจิตใจเราเป็นสมบัติของมัน

เวลาเราเกิดมา เราเกิดมาได้ชื่อเสียงสิ่งใดมาว่าเป็นเรา เราบวชมาเป็นพระเราว่าเราเป็นพระชื่อนี้ เวลาปฏิบัติไป เราก็ว่าเราปฏิบัติทำคุณงามความดี ทำความเพียรไง ความเพียร ความวิริยะความอุตสาหะทำความดีทั้งนั้นน่ะ เราว่าเราเป็นคนทำ แต่กิเลสมันอยู่กับเรากิเลสมันอยู่กับเราเวลากิเลสขึ้นมาถ้ากิเลส กิเลสมันอยู่กับเรา เวลาที่เราศึกษาธรรมๆเราเห็นโทษของมัน เห็นโทษของความขี้เกียจ เห็นโทษของความเกียจคร้าน เห็นโทษของความมักง่าย เห็นโทษของความสะเพร่า สิ่งนี้เป็นกิเลสทั้งหมดล่ะ

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรมต้องเห็นโทษของกิเลสเราก็ต้องปฏิบัติธรรม เราต้องมีสติมีปัญญาของเรามา เห็นโทษของความเกียจคร้าน เราก็ต้องขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียรเพื่ออะไร ถ้าความขยันหมั่นเพียรจริตนิสัยของคนถ้ามันขยันหมั่นเพียร ทำสิ่งใดมันก็ทำข้อวัตรปฏิบัติ เราทำสิ่งใดทำด้วยความขยันหมั่นเพียรด้วยความมีสติปัญญา มันก็ประสบความสำเร็จ ความผิดพลาดก็น้อยลงไป ถ้ามันมักง่ายมักง่ายเราก็ฝืนสิ่งใดที่มันเกียจคร้าน มันไม่ทำ เราก็ต้องตั้งสติของเรา เราไม่มักง่าย เราต้องรอบคอบ เราต้องดูแลบริขารของเรา ดูแลปัจจัย ๔ของเรา ดูความเป็นไปในชีวิตของเราให้มันสงบเรียบร้อย ถ้ามันไม่เอาไหน เราก็ต้องพยายามตรงข้ามหมด เรามีตรงข้ามขึ้นมาทำให้กิเลสมันไม่มีช่องทางออกหาของมันไง

ถ้าคนเรามีสติมีปัญญาเวลากิเลสมันลักไก่ เราก็มีสติปัญญาแก้ไขๆแก้ไขเพื่ออะไรแก้ไขเพื่อเราจะได้สัมผัสธรรมไง เราจะเป็นปัจจัตตังสันทิฏฐิโก ถ้ามีสติก็สติจริงๆ ถ้ามีสมาธิก็สมาธิจริงๆ ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดปัญญาที่ผ่องแผ้วเกิดปัญญา เกิดญาณ เกิดทัสสนะเกิดความดีงามเกิดความดีงามจากใจ ไม่ใช่เกิดความดีงามจากชีวิตประจำวัน

ชีวิตประจำวันมันก็มีของมันอยู่อย่างนี้ ดูสิ คนเขามีหน้าที่การงานของเขา เขาบริหารจัดการของเขา เขาทำโครงการของเขาเสร็จของเขา เขาได้ผลตอบแทนของเขา เขาภูมิใจของเขานะ นั่นหน้าที่การงานของเขา นี่หน้าที่การงานของโลกคนเขาก็ทำกันมาทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเราจะมาประพฤติปฏิบัติธรรม เราใช้สติปัญญาอย่างนั้นหรือ สติปัญญาอย่างนั้นมันเป็นวิชาชีพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนามยปัญญาปัญญาเกิดจากใจปัญญาเกิดจากการภาวนา ถ้าปัญญาเกิดจากการภาวนา เรามีสติมีปัญญาของเรา

ถ้ามีสติปัญญา จิตมันสงบเข้ามา มันปล่อยสัญญาอารมณ์อย่างนั้น ถ้ามันปล่อยสัญญาอารมณ์อย่างนั้นมันสงบตั้งมั่นมามีสติมีปัญญา จิตสงบๆ ถ้าจิตสงบขึ้นมา เราจะเชื่อมั่นในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าจิตเรายังไม่สงบเข้ามา เห็นไหม เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราซาบซึ้งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีความอบอุ่น ความอบอุ่นอย่างนั้นมันเป็นความอบอุ่นของโลกียปัญญา ความอบอุ่นอย่างนั้นเป็นความอบอุ่นแบบโลกๆ ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกันเพื่อจะปราบปรามกิเลสอย่างนี้ ปราบปรามกิเลสของเราปราบปรามสิ่งที่มันอนุสัยนอนเนื่องมากับใจอยู่กับเรา ถ้าเราปราบปรามอย่างนี้ได้ ธรรมะจะแจ่มชัดขึ้นมาในใจของเรา

แต่ถ้าเวลากิเลสมันลักไก่นะคนที่หยาบ คนที่วุฒิภาวะอ่อนด้อยเวลากิเลสมันลักไก่ มันจะเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นของเรา ทั้งๆที่ว่าเราจะชำระล้างนะ คนที่ปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นสติ มันก็ยับยั้งอารมณ์ความฟุ้งซ่านได้ทั้งหมดใช่ไหมถ้าเป็นสมาธิกิเลสมันสงบตัวลง จิตใจมันก็ผ่องแผ้ว จิตใจมันก็มีหลักมีเกณฑ์มันก็มีความสงบสุขขึ้นมาใช่ไหมแล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญามันจะเห็นโทษ เห็นโทษว่ากิเลสมันหลอกลวงขนาดนี้ทำให้เราไม่รู้แจ้งอย่างนี้ ถ้ามีความสงบเข้ามา ถ้ามันเกิดใช้ปัญญาขึ้นไป มันแยกแยะของมัน มันรู้แจ้งของมัน นี่เราปฏิบัติเพื่อเหตุนี้

แต่ถ้าวุฒิภาวะมันอ่อนด้อยเวลากิเลสมันลักไก่มา ลักไก่มาคือว่ามันเคลมธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นของเรา แล้วจิตใจมันอ่อนด้อย มันก็เคลิบเคลิ้มว่าสิ่งนี้เป็นเรา เวลาพูดธรรมะนี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเราเทศนาว่าการขึ้นมา เวลาพูดธรรมะเหมือนกับครูบาอาจารย์เราเลย อาการที่เป็นรู้หมดเห็นหมด ฉะนั้น เวลาสมัยหลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศนาว่าการ ท่านจะพูดถึงเหตุๆ

หลวงตาท่านพูดบ่อยว่าหลวงปู่มั่นท่านไม่เคยบอกเลยว่าท่านเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยพูดสักคำหนึ่งว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่เวลาเทศนาว่าการขึ้นไป เพราะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นไป จิตใจ วุฒิภาวะของพระแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน องค์ที่ปฏิบัติอยู่ด้วยกัน พระที่อยู่ด้วยกันจะรู้ด้วยกัน วุฒิภาวะจะรู้ พระองค์ไหนทำความสงบของใจได้ เขาจะรู้ว่าองค์นี้สงบ ถ้าจิตสงบแล้วเขาจะสงบเสงี่ยมของเขา ถ้าจิตใจของใครถ้าเป็นพระโสดาบัน เป็นพระที่กำลังประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาแยกแยะของเขาเขาใช้ปัญญาของเขา เขาเห็นกายของเขา ถ้าเขาไม่เห็นกาย เขาจะรู้จักกายได้อย่างไร ถ้าเห็นกายของเขาพิจารณาของเขา

ฉะนั้น พระที่เวลาไปอยู่กับหลวงปู่มั่น จิตใจมีวุฒิภาวะตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีขึ้นไป จนถึงเป็นพระอรหันต์ก็มี อย่างเช่นหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ฝั้น ที่เวลาไปกราบองค์หลวงปู่มั่น

ฉะนั้น เวลาท่านเทศนาว่าการหลวงปู่มั่นท่านไม่เคยพูดว่าท่านเป็นพระชนิดใดเลยแต่พระเชื่อมั่นพระทุกองค์เชื่อมั่นว่าหลวงปู่มั่นท่านสิ้นกิเลสของท่าน ท่านถึงแสดงธรรมของท่านเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

สิ่งที่หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยพูดว่าท่านได้ชั้นใด ท่านได้สิ่งใดเพราะท่านกลัวไงท่านกลัวกิเลสมันจะลักไก่ กลัวว่ากิเลสลักไก่ขึ้นไปแล้วผู้ที่ปฏิบัติเอาสิ่งนั้นไปๆ แล้วถ้าจิตใจของคนไม่มียางอาย มันก็พูดเหมือนครูบาอาจารย์ของเราแล้วการประพฤติปฏิบัติมันเหมือนกันไหมล่ะ ถ้ามันประพฤติปฏิบัติเหมือนกันนะ ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ของเราอ่อนน้อมถ่อมตนมีการอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าอ่อนน้อมถ่อมตนขึ้นมาเพราะอะไรเพราะถ้าแข็งกระด้างขึ้นมา มันเข้าสู่กิเลสทั้งนั้นมันจะลักไก่ดึงหัวใจนี้ไป

ท่านไม่ดึงไป แล้วหลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ของเรา ท่านเป็นธรรมของท่านจริงท่านอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านอยู่ป่าอยู่เขา ท่านมักน้อยสันโดษ ท่านไม่ออกมาคลุกคลีกับใคร ท่านมีคุณธรรมในหัวใจท่านมีความสุขในใจ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีแล้วจิตสงบแล้วใช้ปัญญาขึ้นไปจนชำระล้างกิเลส จนผ่องแผ้วไปแล้วความสุขอย่างนั้นนี่ธรรมที่เหนือโลกมันมีสิ่งใดจะมีคุณค่ามากกว่านั้น ธรรมที่เหนือโลก ธรรมที่เป็นความจริงในใจของครูบาอาจารย์ของเรา นี่ธรรมะเหนือธรรมชาติ มันมีความสุขในตัวของมันเองอยู่แล้ว แล้วมีอะไรมีค่ามากกว่านั้น ในโลกนี้มันมีอะไรมีค่ามากไปกว่านั้นใน ๓ โลกธาตุไม่มีสิ่งใดมีคุณค่าเท่ากับธรรมแท้ๆ เอโกธมฺโม ธรรมอันเอกในใจของครูบาอาจารย์ของเราเลย

ถ้ามันไม่มีค่าเท่ากับธรรมในใจของครูบาอาจารย์แล้ว ท่านถึงอยู่ของท่านด้วยความสงบระงับ ท่านอยู่ของท่านด้วยความสุขท่านอยู่ของท่านนะ แต่ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราไงท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราพวกที่ประพฤติปฏิบัติพวกที่พยายามจะหาทางออกอยู่นี่เราถึงไปพึ่งพาอาศัยท่าน ถ้าเราพึ่งพาอาศัยท่านดูสิ ดูความสงบเสงี่ยมของท่าน ดูจิตใจที่ท่านเป็นธรรม

ถ้าจิตใจของเรา เวลาเราไปศึกษา ไปฟังธรรมๆ มา เห็นไหมกิเลสมันลักไก่ลักไก่นะ ลักไก่สิ่งที่เป็นธรรม นี่ธรรมลักไก่ของครูบาอาจารย์มาอีกชั้นหนึ่ง แล้วก็มาอ้างอิงเหมือนกัน พูดเหมือนกันแต่พฤติกรรมมันไม่เหมือนกัน ถ้าพฤติกรรมไม่เหมือนกัน คำพูดเหมือนกัน แต่เราไม่มีวุฒิภาวะไปวัดสิ่งนั้นได้ว่าสิ่งนั้นเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง วางสิ่งนั้นไว้ นั้นเป็นเรื่องของบุคคลภายนอก แต่ถ้าเป็นเรื่องบุคคลของเรา เป็นเรื่องหัวใจของเรา เราจะรักษาหัวใจของเรานะ เราจะดูแลใจของเรา ถ้าเราดูแลใจของเรา เราจะรักษาที่นี่ นี่คือการประพฤติปฏิบัติ นี่การบำเพ็ญตบะธรรมต้องเกิดจากที่นี่เกิดจากหัวใจที่ยอมรับ ศรัทธาไงศรัทธาความเชื่อเพราะมีศรัทธาความเชื่อ เราถึงจะมีกำลังใจ เราถึงจะมีน้ำใจในการประพฤติปฏิบัติ

เวลาเราปฏิบัติ คนที่ปฏิบัติใหม่ๆ มาปฏิบัติใหม่ๆ เอาร่างกายนี้มา แต่จิตใจมันอยู่บ้านจิตใจอยู่กับโลกเราเป็นพระนะ อยู่ในวัดในวา แต่หัวใจเราอยู่นอกวัด คิดแต่เรื่องโลกๆ ไปทั้งนั้นเลย เห็นแต่โลกเขาไปหมด ข้อมูลข่าวสารมีไปทั่วแล้วจิตใจเราอยู่ที่ไหนล่ะ เพราะมันไม่อยู่กับตัวไงมันไปอยู่ข้างนอกแม้แต่ว่าเอาใจไว้กับตัวมันยังไม่อยู่แล้วถ้าเอาใจไว้กับตัวไม่อยู่นะเวลามันคิดไปแต่เรื่องข้างนอก มันร้อน มันคิดแล้วมันร้อนนะ มันเบียดเบียนหัวใจของเราเอง ฉะนั้นเราจะต้องเข้มข้นไปกว่านั้น เราต้องมีสติมากกว่า

ถ้ามีสติมากกว่า มีการบังคับมัน บังคับให้มันกำหนด บังคับให้มันท่อง บังคับให้มันบริกรรมไงบังคับให้บริกรรมพุทโธๆๆ มันไม่มีสิ่งใดมีค่าไปกว่านี้หรอก เพราะเราเชื่อมั่นแล้ว เรามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา แล้วเรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันคิดออกไปข้างนอก มันคิดออกไปทั่ว

จิตใจนี้เวลาดี ดีจนเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เวลากิเลสครอบงำมันนะ เวลากิเลสครอบงำมันน่ะ มันร้ายนัก มันทำลายได้ทุกอย่าง มันสั่งมันบอกให้เราทำตามมันๆ เราก็ทำตามมัน เดินต้อยๆเลยแหละ แต่ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ มีความมั่นคง เราจะไม่ยอมเดินตามสิ่งนั้น เราจะไม่ยอมให้กิเลสบงการชีวิตของเรา เราไม่ยอมให้กิเลสมาบังคับให้เราอยู่ใต้อำนาจของมันเราบริกรรมพุทโธๆ พุทธานุสติบริกรรมพุทโธเลยพุทโธๆๆ ให้มันขึ้นมาตามความเป็นจริง มันไม่ใช่ลักไก่ มันมีข้อเท็จจริง ถ้ามีสติ สติยับยั้งความรู้สึกนึกคิด ยับยั้งสิ่งที่กิเลสมันกระตุ้นให้ออกไปคิดร้อยแปดพันเก้า ไปกว้านฟืนกว้านไฟมาเผาตัวเอง เราตั้งสติของเรา แล้วบังคับให้มันบริกรรม

ถ้ามันบริกรรมแล้วบริกรรมไม่ต่อเนื่อง บริกรรมไม่ต่อเนื่อง กิเลส! เอ็งจะมีกำลังมากขนาดไหน กิเลสมันคืออะไร กิเลสมันคือพญามารพญามารมันมีพ่อมันมีปู่ มีย่า มีลูกมีหลาน สิ่งนี้มันเป็นครอบครัวของมันอยู่ในหัวใจของเรา เอ็งมีอำนาจขนาดไหน ถ้าเอ็งมีอำนาจขนาดไหนนะ เรามีสัจจะสัจจะ มีขันติธรรมสัจจะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งสัจจะกำหนดบริกรรมพุทโธ พุทโธๆๆ สู้กับมัน

ถ้าสู้กับมันไม่ไหว สู้ไม่ไหวอดนอนผ่อนอาหารแล้ว เราต้องย้อนกลับมาศีล ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา เราทำสิ่งใดผิดพลาดบ้าง ถ้าเราไม่มีสิ่งใดผิดพลาดเลย แต่ถ้าผิดพลาดสิ่งใดเราปลงอาบัติซะถ้าไม่ผิดพลาดสิ่งใดเลย ศีลเราก็บริสุทธิ์แล้ว ศีลสมาธิ เราจะทำสมาธิขึ้นมา สมาธิมันเกิดมาได้ไหมถ้าสมาธิมันเกิดได้มันจะเกิดปัญญา

ถ้ามันมีสิ่งที่เราไม่แน่ใจ นี่เวลาอาบัติ ต้องเพราะเราลังเลสงสัย ต้อง เพราะเราทำผิด ถ้าสงสัยมันเกิดความสงสัยเกิดความสงสัยมันโลเล ปลงอาบัติซะ ทำเพื่อไม่ให้กิเลสมันอ้างสิ่งใดเลย เวลาเราบอกว่า เราจะกำหนดพุทโธ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราทำสิ่งใด เราทำของเราเอง เรายังทำสิ่งนี้อยู่เลย มันเป็นความผิดทั้งหมดเราจะมาหลอกตัวเองได้อย่างไร แต่ถ้าเราสะอาดบริสุทธิ์ เราปลงอาบัติซะ ถ้าใครมีสิ่งใด เราต่อศีลของเราซะ เราตั้งวิรัติเอาเดี๋ยวนี้แล้วเรากำหนดพุทโธๆ ของเราไปมันอ้างอะไรก็ไม่ได้ กิเลสจะมาอ้างอะไรก็ไม่ได้

ฉะนั้น ถ้าธรรมะลักไก่ เราก็ไปหยิบฉวยเอามา หยิบฉวยเอาของครูบาอาจารย์มาเป็นของเรา ถ้าเราไปหยิบฉวยมาหยิบฉวยหมายความว่า เราศึกษามา เราได้ยินได้ฟังมา เราเอาสิ่งนี้มา แล้วเราสร้างอารมณ์ขึ้นมา นี้โดยจิตใจที่มันเป็นกิเลสนะ กิเลสเพราะถ้ามันทำอย่างนี้ กิเลสมันจะหลบหลีก มันไม่ต้องการให้เกิดธรรมโอสถ ธรรมโอสถคือสิ่งที่จะไปปราบปรามมันมันไม่ต้องการให้ธรรมาวุธ ให้เกิดอาวุธขึ้นมา ฉะนั้นพอถึงเวลามันถึงเฉไฉ เห็นไหมเฉไฉ

ถ้าเราเป็นคนมักง่าย เราเป็นคนสับปลับต่างๆ สิ่งนี้มันสอดเลย เข้าเลยนี่เป็นผลของกิเลสนะ ไม่ใช่กิเลสลักไก่ นี่กิเลสจริงๆกิเลสมันแสดงออกอย่างนี้วิธีการของมันครอบครัวของมันแสดงออกอย่างนี้ทำให้ล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้ แล้วจิตใจคนที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ พอมันทำให้ล้มลุกคลุกคลานก็ “อืม! เราเป็นคนไม่มีอำนาจวาสนา เราก็ออกไปเพื่อดำรงชีวิตมา เราก็ปฏิบัติพอเป็นชีวิตประจำวัน” เห็นไหม มันคิดของมันร้อยแปดไป มันคิดของมันนะ แล้วมันก็ต่อเนื่องกันไปถ้ามันเป็นกิเลสโดยธรรมชาติหน้าที่ของกิเลสมันทำอย่างนั้นหน้าที่ของกิเลสมันก็ต้องพยายามแสวงหาทำลายการประพฤติปฏิบัติของเราทำลายความเพียรของเราเพื่อให้ไม่มีธรรมาวุธมาทำลายมัน แต่ถ้ากิเลสลักไก่ กิเลสลักไก่ที่กิเลสมันหยาบ มันต่อเนื่องไปมากกว่านี้

คนเรานะเวลาปฏิบัติเราก็กลัวมากว่าปฏิบัติไปแล้วมันจะมีความผิดพลาดปฏิบัติไปแล้วมันจะไม่สมความปรารถนา นี้กิเลสโดยธรรมชาติ แต่เวลาถ้ากิเลสมันหยาบๆ นะ มันไปทำให้ไพล่ไป มันลักไก่ว่าธรรมะก็เป็นของเรา เราก็เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว แล้วก็สร้างอารมณ์เป็นอย่างนั้นด้วย นี่มันแถออกนอกทางไปเลย มันแถออกนอกทางไปเลยแล้วเราจะตามไปไหม เราจะตามไปไหม

ถ้าตามไปนะ ดูสิ ถ้าตามไปความเป็นผู้ทรงศีลของเรามันก็ไม่ใช่ทรงศีลแล้วเพราะศีล ๕ ศีล ๕ไม่ให้มุสา เราตั้งใจอะไร เราตั้งใจสิ่งใด แล้วเราคิดสิ่งใด แล้วสิ่งนี้มันเป็นธรรมจริงไหม เราก็รู้อยู่ว่ามันไม่ใช่ รู้อยู่ว่าไม่ใช่ ทำไมเราไม่ปล่อยล่ะ ทำไมเราตามไป นี่เวลากิเลสมันหนา มันดึงไปอย่างนั้น

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราวางสิ่งนั้น เพราะกิเลสโดยธรรมชาติมันก็ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานอยู่แล้วแล้วกิเลสใฝ่ต่ำเพราะมันไม่มีอยู่จริงกับใจของเราถ้าไม่มีอยู่จริง เราก็สวมหัวโขนอย่างนั้น แล้วบอกให้เป็นจริงๆ...มันเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของครูบาอาจารย์ทั้งนั้นน่ะถ้ากิเลสมันดึงไปอย่างนั้น วาง แล้วเราพยายามปฏิบัติของเรา

การปฏิบัตินะ มันต้องทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบแล้วมันออกรู้ออกเห็นต่างๆ มันจะเป็นประโยชน์กับใจเราแล้ว ออกรู้ออกเห็นคือการฝึกหัดใช้ปัญญาถ้าการรู้การเห็นนั้นคือให้จิตมันรู้มันเห็น ให้มันฉลาดขึ้นมา การฝึกหัดใช้ปัญญาถ้าจิตสงบ มันเป็นเนื้อแท้ มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง ความจริงหมายความว่าจิตสงบ ถ้าจิตไม่สงบมันเสวยอารมณ์มันมีอารมณ์ของมัน สงบคือสงบอะไร สงบจากสัญญาอารมณ์เข้ามา ถ้ามันสงบจากสัญญาอารมณ์เข้ามา มันสงบมากน้อยขนาดไหน เรามีความชำนาญของเรา เราดูแลรักษาใจของเรา

ถ้ามันสงบเข้ามา มันเป็นสมถะ สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิสัมมาสมาธิเวลาฝึกหัดใช้ ถ้าจิตของเรามันไม่รู้ไม่เห็น เราต้องรำพึงขึ้นมา การรำพึงขึ้นมา

บอกว่ารำพึงขึ้นมา รำพึงจากอะไร รำพึงจากกาย รำพึงจากเวทนา รำพึงจากจิต รำพึงจากธรรม แล้วอย่างนี้ไม่ใช่สัญญาหรืออย่างนี้ไม่ใช่นึกคิดหรือ อย่างนี้ไม่ใช่กิเลสลักไก่หรือ

คำว่า“กิเลสลักไก่” เพราะกิเลสมันครอบงำ แล้วกำลังของธรรมกำลังของสติกำลังของสมาธิกำลังของปัญญาเราอ่อนด้อย ให้กิเลสมันฉุดกระชากลากไปกิเลสมันฉุดกระชากลากไปจนมันสมประโยชน์มันแล้ว มันทำลายความเพียรของเรามันทำให้ปัญญาของเราเป็นปัญญาของกิเลส เป็นปัญญาของความเห็นแก่ตัว เป็นปัญญาของคนคดคนโกง มันทำลายหมดแล้ว มันปล่อยเราแล้ว เราถึงค่อยรู้สึกตัว

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจเราสงบแล้วเราออกฝึกหัดใช้ปัญญาการออกฝึกหัดใช้ปัญญามันยังไม่เกิดปัญญาขึ้นมาไม่เกิดจิตเห็นกายจิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรม ถ้ามันไม่เกิดขึ้นมา แล้วจะเริ่มต้นอย่างไรเพราะจิตสงบเข้ามามันก็ปล่อยวางจากสัญญาอารมณ์เข้ามาทั้งหมด ถ้ามันปล่อยวางจากสัญญาอารมณ์เข้ามา ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันจะเป็นสัมมาสมาธิถ้าสัมมาสมาธิมันก็มีความสุขอย่างนั้นเป็นสัมมาสมาธิ เพราะสัมมาสมาธิ ถ้ามันติดอยู่คนก็จะคิดได้ว่าสัมมาสมาธิคือนิพพาน นิพพานเพราะมันสุขมันสงบอยู่แล้ว มันก็เป็นนิพพานไง

เวลาอำนาจวาสนาบารมีของคนที่สร้างมานะ การสร้างมา คนที่มีบารมี มีกำลัง พอมีกำลังขึ้นมา ทำสิ่งใดเขาจะมีกำลัง คนที่ไม่มีกำลัง สิ่งที่สงบขึ้นมา มันก็เหนือ เป็นธรรมที่มีสัจจะ มีความจริงที่เหนือกว่าที่จิตรับได้ ว่าสิ่งนี้เป็นนิพพานติดไง

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรานะ เราจะบอกว่าให้ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ๆ ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญานะ เวลาเราน้อมไป เราน้อมไป มันเป็นสัญญาไหม มันเป็นการลักไก่ไหมถ้ามันเป็นจุดเริ่มต้น มันพยายามฝึกหัดให้มันออกก้าวเดินไป สิ่งนี้มันต้องใช้ เวลาจำเป็นต้องใช้ มันต้องใช้ แต่ถ้ามันมีกิเลส มันไม่ใช่ใช้มันยึด มันยึดว่าสิ่งนี้เป็น พอยึดว่าสิ่งนี้เป็นแล้ว แล้วมันแฉลบออกไปว่าสิ่งนี้เป็นแล้ว ก็สร้างภาพ สร้างภาพออกไปมันก็เป็นโทษไง แต่สิ่งนี้จิตใจเรามีสติใช่ไหม มีสติ มีสมาธิใช่ไหมจิตใจเราตั้งมั่นใช่ไหม จิตใจเรามีความสงบใช่ไหมจิตใจมีความสงบแล้วทำไมไม่ออกฝึกหัดใช้ปัญญาล่ะ ทำไมไม่ออกสู่อริยสัจล่ะ ทำไมไม่ให้เกิดสัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจของเราล่ะ ทำไมไม่เกิดมรรคญาณล่ะ ไม่เกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ เราต้องฝึกหัดใช้ของเรา

ถ้าฝึกหัดใช้ มันน้อมไปฝึกหัดคือรำพึงขึ้นมาให้มันเป็นขึ้นมา มันเป็นขึ้นมาพอมันฝึกหัด มันทำได้ มันพิจารณาของมันถ้ามีกำลัง มันปล่อยวางของมันพอปล่อยวางขึ้นไป นี่ไง พอปล่อยวางขึ้นไป รสชาติของมัน คำว่า“รสชาติ” คือผลของการปฏิบัติรสชาติของมันเวลาผลของการปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วมันมีสติมีปัญญามีความรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วเข้าใจเห็นสัจจะความจริง นี่มันถึงเป็นการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง มันไม่ใช่ว่าธรรมะลักไก่

ธรรมะลักไก่มันไม่มีสิ่งใดเป็นความจริง มีก็มีแต่ภาคปริยัติมีการศึกษา เพราะไม่มีการศึกษา เราจะจำสิ่งนั้นมาได้อย่างไร ไม่มีการศึกษา เราจะพูดธรรมะของครูบาอาจารย์เราได้อย่างไร เพราะมันมีการศึกษา มีการจำมา มันถึงพูดธรรมะอย่างนั้นธรรมะอย่างนั้นแต่มันไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีสัจจะ ไม่มีศีล สมาธิ ปัญญาที่เป็นความจริงขึ้นมาเป็นผลงานของเราขึ้นมาตามความเป็นจริงอันนั้น

ถ้ามีศีลสมาธิ ปัญญาขึ้นมาตามความเป็นจริงอันนั้น มันเป็นอย่างใด มันเป็นเห็นไหม พอจิตมันสงบ จิตมันสงบเข้ามา ถ้ามันสงบเข้ามา เราพิจารณาของเราไปถ้ามันจิตสงบเข้ามา แต่ถ้ามันใช้ปัญญาอบรมสมาธิล่ะ

เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะบอกว่า เวลาครูบาอาจารย์ของเราต้องพุทโธๆ ให้จิตสงบเข้ามาก่อน จิตสงบเข้ามาก่อนแล้วเมื่อไหร่จะได้ปฏิบัติล่ะ ล้มลุกคลุกคลานกันอยู่อย่างนั้นน่ะ ล้มลุกคลุกคลานอยู่ว่า“เมื่อไหร่จะปฏิบัติล่ะ เมื่อไหร่จะได้ออกใช้ปัญญาล่ะถ้าไม่ออกใช้ปัญญา มันก็ไม่ใช่มรรค ไม่ออกใช้ปัญญา มันก็ไม่ใช่ล่วงพ้นทุกข์ด้วยปัญญา มันก็เป็นสมถะ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร” นี่ว่ากันไป เพราะอะไร เพราะนี่กิเลสมันลักไก่แล้วล่ะ มันทำให้เกิดความลังเลสงสัย มันทำให้ความเพียรเราล่มจมไป มันทำให้เราขยับเดินก้าวหน้าไปไม่ได้

แต่ถ้าเราฝึกหัดใช้ปัญญาอบรมสมาธิล่ะปัญญาอบรมสมาธิมันฝึกหัดใช้ปัญญามาๆมันจะเห็นความแตกต่างเลยล่ะว่าถ้าปัญญาอบรมสมาธิเป็นแบบนี้นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าเป็นปัญญาๆ มันเป็นสมถะ มันเป็นปัญญาโลกียปัญญาทั้งนั้นน่ะโลกียปัญญาคือปัญญาของโลกโลกียปัญญาคือปัญญาในภาคปริยัติ ปริยัติเพราะศึกษาด้วยสมอง ศึกษาด้วยความจำ ศึกษาด้วยการวิเคราะห์วิจัยของเราทั้งนั้นน่ะ มันก็เป็นโลกียปัญญาทั้งนั้น ถ้ามันซาบซึ้งๆ ก็เท่านั้นน่ะ แล้วปฏิบัติมันก็อยู่ของมันแค่นั้นน่ะ เพราะมันไม่เข้ามา

แต่ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราจะเห็นเลยว่าปัญญาอบรมสมาธิมันเป็นแบบนี้ ปัญญาอบรมสมาธิ ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะจิตใจของเรา ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็จะไปกว้านฟืนกว้านไฟมาใส่ตัวเราเองไง มันไปกว้านสัญญาอารมณ์ยึดมั่นถือมั่นไปหมดสิ่งที่เคยรู้เคยเห็นมาจากจิต สิ่งที่เคยรู้เคยเห็นมาจากตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ รู้สิ่งใดมามันก็ซับลงอยู่ที่หัวใจ ซับลงอยู่ที่หัวใจ เวลามันคิดถึง คิดถึงสิ่งใดก็แล้วแต่ มันก็ไปรื้อฟื้นของเก่ามาของที่เคยรู้เคยเห็น ของที่มันเป็นสัญญาอารมณ์ของเก่าแก่ทั้งนั้นน่ะ กิเลสมันก็ไปรื้อค้นขึ้นมา ไปรื้อค้นสิ่งนี้ขึ้นมา ของเก่าๆ ก็เอามาย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำให้มันฟุ้งซ่านอยู่อย่างนั้นน่ะ

ถ้ามันมีสติมันกำหนดพุทโธกำหนดพุทโธเข้ามา มันบังคับไม่ให้ไปรื้อค้นอย่างนั้น ถ้ามันมีสติปัญญานะ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันตรึกในธรรมๆ ตรึกในธรรม ตรึกในสิ่งใดก็ได้ ความคิดเก่าๆ ถ้ามันคิดขึ้นมาโดยที่ขาดสติมันก็ไปคิดเสวยอารมณ์เต็มไม้เต็มมือของมัน แต่ถ้าเราตรึกในธรรมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทางให้การประพฤติปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนว่า ทุกข์ สมุทัยนิโรธ มรรค ทุกข์นี้เป็นสัจจะ ทุกข์นี้เป็นความจริง

ทุกข์มันเกิดจากอะไร เกิดจากสมุทัย สมุทัยตัณหาความทะยานอยาก แล้วถ้าใช้มรรคล่ะมรรคก็คือสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามรรคมันพิจารณาของมันไป มันก็เกิดนิโรธ นี่ถ้าเราศึกษาแล้วเราปฏิบัติ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราใช้ปัญญาตรึกอย่างนี้ มันก็ปล่อยวางเข้ามา มันก็ปล่อยวาง แต่มันปล่อยวางอะไรล่ะ ปล่อยวางเพราะทุกข์สมุทัย นิโรธมรรค นี้สัจจะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง จะลักไก่ธรรมะลักไก่เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา

แต่เวลาเราตรึกในธรรมเราตรึกนี่ตรึกในธรรม ทุกข์ สมุทัยนิโรธ มรรค แต่จิตใจเรามันเป็นนี่ปัญญาอบรมสมาธิไง มันเห็นว่า เออ! นี่ใครคิดล่ะ นี่ใครคิดทำไมถึงคิดล่ะ มันคิดเพราะอะไรเพราะมันมีตัณหาอ้าว! ตัณหาคิดแล้วมีสติปัญญาทันนี้มันคืออะไรล่ะ มันคือมรรคอ้าว! มรรคแล้วมันปล่อย มันปล่อยนิโรธหรือยังล่ะ ไม่นิโรธหรอก มันปล่อยก็เป็นสมถะไง มันปล่อย ถ้ามีสติปัญญา ปัญญาอย่างนี้ที่เราใช้พิจารณาของเราเราตรึกในธรรมตรึกในธรรมเพราะเราตรึก เราตรึก เราวิตกวิจาร

เวลาเรานึกพุทโธล่ะ ถ้าเรานึกพุทโธ ถ้าเราไม่นึกมันจะเกิดวิตกขึ้นมาไหม ถ้าเราอยู่เฉยๆ เราไม่นึกถึงพุทโธ พุทโธมีไหมเวลาภาวนาไป ไม่ต้องกำหนดพุทโธเลย กำหนดรู้เฉยๆกำหนดรู้เฉยๆ

กำหนดรู้เดี๋ยวมันก็หายไปกำหนดรู้ มันก็เร่ร่อน กำหนดรู้เดี๋ยวมันก็หลับกำหนดรู้ เดี๋ยวมันก็ตกภวังค์ แต่ถ้าเราวิตกขึ้นมา นึกพุท นึกขึ้นมา วิตกขึ้นมา วิจาร พุทโธๆ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาเราพิจารณามันเป็นวิตกวิจารไหม ถ้ามันเป็นวิตกวิจารในจิตของเรา เราวิตกวิจาร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเราไม่ลักไก่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เราศึกษามาแล้วเราวางไว้ เราปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้าปฏิบัติขึ้นมา

ถ้าพุทโธมันก็เป็นวิตกวิจารเหมือนกัน เวลาเราตรึกในธรรมๆ มันก็ตรึก ตรึกก็ระลึกเหมือนกัน ระลึกเหมือนกัน ถ้าสติปัญญามันทัน มันก็ปล่อย ปล่อยสัญญาอารมณ์ปล่อยสัญญาอารมณ์ เห็นไหมคำว่า “ปล่อยสัญญา” ก็ความคิดไง ถ้าปล่อยสัญญาอารมณ์มันก็เป็นตัวมันไงถ้ามันเป็นตัวมันมันก็สงบระงับเข้ามา

ถ้ามันสงบระงับเข้ามาบ่อยครั้งเข้าๆ เวลาจิตมันเห็นนะ เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามาๆพอมันขาดสติ มันก็เสวยเต็มๆ มันก็คิดร้อยแปด คิดแบบโลกียปัญญาคิดแบบเต็มไม้เต็มมือ แต่ถ้ามีสติปั๊บ มันก็ปล่อยปล่อย ไล่เข้าไปไล่เข้าไปคือมีสติปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิตามความคิดเข้าไปมันปล่อยอารมณ์ความรู้สึก ปล่อยอารมณ์ ปล่อยอารมณ์มันเป็นเอกเทศ เป็นตัวมันถ้าเรามีสติ มันก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดแล้วเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราจับต้องได้มันเป็นวัตถุ มันเป็นสิ่งที่จับต้องที่มันรู้มันเห็นของมัน มันปล่อยวางเข้ามา มันชัดเจนมาก พอมันชัดเจนมาก ถ้ามีสติบ่อยครั้งเข้า เวลามันเสวยอารมณ์ เวลามันคิด เห็นเลยนะจิต อาการของจิตมันกระทบกัน จิตเห็นอาการของจิตมันเห็นชัดๆ ถ้ามันเห็นชัดๆ ขึ้นมา มันลักไก่มาจากไหนล่ะ มันธรรมะลักไก่หรือ...ไม่ใช่ มันเป็นการกระทำของเรา แล้วมันเกิดขึ้นมาต่อหน้ามันเห็นชัดเจน มันเป็นที่จิตของเราถ้าจิตของเรา จิตเห็นอาการของจิตมันจะออกใช้ปัญญาแล้ว ออกใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาคืออะไรล่ะ

เวลามันปล่อยวางสัญญาอารมณ์เข้ามา แต่เวลาจิตสงบแล้วมันจับ มันก็จับขันธ์ รูป เวทนาสัญญา สังขารวิญญาณ ถ้ามันจับแล้ว คนไม่เป็นนะคนไม่เป็นแยกไม่เป็น ดูสิ เวลาช่างเวลาเหล็ก เขาจะหลอมเหล็ก เขาต้องทำความร้อนของเขา เขาจะหลอมทองคำของเขา เขาจะหลอมอะไรล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคนที่เขาเป็นช่าง เขาทำของเขา เขาจะชำนาญของเขาเขาคำนวณของเขาได้ ความร้อนขนาดไหน เวลาหลอมมาแล้วมันจะออกมา เราต้องการชนิดใด

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจับได้เราจับอารมณ์ความรู้สึกได้ มันจะจับแล้วมันพิจารณาของมันนะ อารมณ์มันประกอบไปด้วยอะไร รูป เวทนาสัญญา สังขารวิญญาณ มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด ทั้งๆ ที่เวลาจิตสงบนะมันปล่อยสัญญาอารมณ์เข้ามา มันถึงสงบเป็นเอกเทศ แต่ถ้าไม่มีสติปัญญาสัมมาสมาธิ จิตมันไม่เห็น จิตไม่เห็นจิต มันจะก้าวเดินไปได้อย่างไร

จิตเห็นจิตจิตเห็นอาการของจิต ถ้ามันจับต้องสิ่งนี้ได้ จับต้องสิ่งนี้ได้ มันเกิดวิปัสสนา ถ้าเกิดวิปัสสนา การกระทำแบบนี้มันเป็นจริง ถ้าเรากำหนดบริกรรมพุทโธๆถ้ามันจิตสงบเข้ามา ถ้ามันสงบระงับ จับรูปก็ได้จับเวทนาก็ได้ จับสัญญาก็ได้ จับสังขารก็ได้ จับกายก็ได้ ถ้าจับกาย คำว่า “ก็ได้ๆ” เพราะสติปัฏฐาน๔ ไง สติปัฏฐาน ๔ตามความเป็นจริงถ้าจิตมันจริง มันจะเห็นสติปัฏฐาน๔ ตามความเป็นจริง

ถ้าจิตมันไม่จริง สิ่งนั้นน่ะธรรมะลักไก่ทั้งนั้นน่ะ มันลักไก่ขึ้นมา ถ้าลักไก่ขึ้นมา มันลักไก่ขึ้นมา มันทำไมล่ะกิเลสมันเป็นแบบนั้น พูดถึงกิเลสโดยสัจจะ กิเลสโดยธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ แต่กิเลสเป็นแบบนี้แล้วนะ ถ้าวุฒิภาวะที่อ่อนด้อยวุฒิภาวะที่เป็นมาร มันอ้างอิงไปเลย ทำให้เสียหายไปเลย แล้วเสียหายไปนะ คนที่เสียหายคือใครถ้ามันเสียหายทำความเสียหายผู้ที่เสียหายก็คือจิตดวงนั้นเอง จิตดวงนั้นทำความเสียหายให้กับจิตดวงนั้นเอง

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เรามีอำนาจวาสนานะ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา เราจะไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำถ้ามีอำนาจวาสนาคอยชี้นำเวลาปฏิบัติไปแล้ว สิ่งใดที่เราปฏิบัติไปแล้ว ฟังธรรมๆ เทียบเคียงได้เลย เทียบเคียงได้เลย ถ้าเทียบเคียงได้ มันจะไม่ไหลตามไปให้กิเลสมันดึงลงต่ำ ถ้ากิเลสมันดึงลงต่ำ เราจะต่อสู้ระหว่างกิเลสกับธรรมตามข้อเท็จจริงที่ใจมันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้

เวลาเราขุดคุ้ย เราค้นหาเราจะหากิเลสเจอเราจะทำอย่างไรถึงจะเจอกิเลสที่จะได้ประพฤติปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติกัน ดูสิเวลาเขาทำหน้าที่การงานกัน เขาต้องการผลประโยชน์ของเขาใครทำสิ่งใดเขาต้องอยากประสบความสำเร็จของเขา นั่นหน้าที่การงานของเขานะ แต่อันนี้เราจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ เราจะมารื้อภพรื้อชาติของเรา ถ้าเรารื้อภพรื้อชาติของเรา ถ้าไม่รื้อภพรื้อชาติ เวียนตายเวียนเกิดแน่นอน เวียนตายเวียนเกิดเพราะอะไร เพราะเหตุผลมันเป็นแบบนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

แต่ถ้ามันจะเป็นจริงขึ้นมามันก็เป็นจริงที่เราเอาจริงกันนี่ เราปฏิบัติจริงๆ นะเราเสียสละเวลามา เราเสียสละความตั้งใจมาเพื่อจะเอาความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรานะ แก้วแหวนเงินทองมันมีค่า เขาจะกู้ยืมกันก็ได้ แต่สติ สมาธิ ปัญญามันกู้ยืมกันไม่ได้ถ้ามันกู้ยืมกันไม่ได้ แต่เวลาเราธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํเราปรึกษาหารือกันได้ แต่ขณะที่ปรึกษาหารือ เราปรึกษาหารือต่อเมื่อเราปฏิบัติมาแล้ว แต่ในการปฏิบัติแล้ว ทุกคนต้องแยกตัวออกไป ใจของใครใจของคนคนนั้น ถ้าใจของใคร ใจของคนคนนั้น ใจของคนคนนั้นต้องรักษาใจของตัวเอง ถ้ารักษาใจของตัวเอง

พอถ้ามีสติมีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา มันก็เป็นกำลังของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมีพื้นฐานที่มีมรรคเกิดขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะได้มีการกระทำถ้าการกระทำ มันจะเป็นข้อเท็จจริงมันจะเป็นความจริงกับใจดวงนั้นถ้ามันจับต้องสิ่งนี้ได้ ฝึกหัดแล้วแยกแยะมันได้อารมณ์ความรู้สึกอารมณ์ขณะที่เป็นสัญญาอารมณ์เรากำหนดพุทโธมันเป็นคำบริกรรมที่ให้มันแยกออกจากกันด้วยกำลังของคำบริกรรม ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันปล่อยวางมา เพราะปัญญาไล่ต้อนเข้ามา มันปล่อยวางๆ

แต่ถ้ามันจับของมันได้นะเวลาเราจะพิจารณา มันคนละเรื่องกันแล้วมันคนละเรื่อง นี่เป็นศีล สมาธิปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากจิตที่สงบ ปัญญาเกิดขึ้นจากสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรมไม่ได้ มันจะไม่มีงานทำ ไม่มีงานทำคือเกิดปัญญาขึ้นไม่ได้ในเมื่อไฟฟ้ามันมีขั้วบวกขั้วลบไฟฟ้ามันถึงจะเป็นพลังงานขึ้นมาได้ ถ้ามันมีเฉพาะขั้วบวก แต่ไม่มีขั้วลบ มันผลักกัน มันไม่เกิดไฟฟ้าขึ้นมาได้ ถ้าจิตมันสงบแล้วถ้ามันจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรมขึ้นมาไม่ได้มันก็ไม่เห็นตามความเป็นจริงมันก็เป็นธรรมะลักไก่ มันก้าวเดินไปไม่ได้

พอธรรมะลักไก่ก็อ้างอิงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอ้างอิงธรรมของครูบาอาจารย์พูดเหมือนกันๆแต่ไม่มีข้อเท็จจริง ถ้าไม่มีข้อเท็จจริง มันก็ไม่ชำระกิเลส ไม่ได้ชำระกิเลส กิเลสที่มันเผาลนใจนั้น มันเผาลนใจมันก็เร่าร้อนใจดวงนั้นอยู่แล้วแล้วถ้าใจดวงนั้นเอากิเลสของตัวเที่ยวไปฉาบไปทาคนอื่น มันก็เป็นกิเลสไปทั้งหมด แต่ถ้าเราเห็นโทษของมัน เราพยายามรักษาใจของเราถ้ารักษาใจของเรา มันมีสติมีปัญญาขึ้นมา เรารักษาขึ้นมาเพื่อจะแก้ไขนะ

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ใจดวงหนึ่ง ธรรมะ สิ่งที่สัมผัสธรรมได้คือหัวใจเท่านั้นฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติ เราก็ต้องดูแลใจของเราเท่านั้น เพียงแต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอยู่ด้วยกัน สังฆะ เวลาเป็นหมู่สงฆ์ขึ้นมาถ้าเป็นสังฆะลงอุโบสถก็เป็นสังฆอุโบสถ ถ้าเป็นคณะ เป็น ๓ องค์ลงมาก็เป็นคณอุโบสถ ถ้าเป็นบุคคลคนเดียวก็เป็นบุคคลอุโบสถเวลาอุโบสถ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้ประพฤติปฏิบัติแตกต่างกันไปเพราะถ้าบุคคลก็เป็น ๑ ถ้าคณะก็ต้อง ๓ ถ้าเป็นสังฆะเป็นตั้งแต่ ๔ขึ้นไป

ในเมื่อเราเป็นหมู่เป็นคณะเรามีสังคม สังคมนี้ก็เป็นสังคมธรรมวินัยก็เป็นข้อวัตรที่ถนอมสังคมนี้ไว้ แต่เวลาปฏิบัติ ใจเราเท่านั้น ใครปฏิบัติก็ต้องใจเราเท่านั้น ถ้าสงบมันสงบเข้ามาที่ใจ แล้วเวลาเกิดปัญญาขึ้นมาปัญญาเกิดธรรมจักรขึ้นมามันจะเริ่มมหัศจรรย์มหัศจรรย์แบบว่าคนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมันไม่รู้สิ่งใดเลย ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยมาขนาดไหนแต่เป็นธรรมะลักไก่ กิเลสลักไก่ขึ้นมา มันก็ไม่รู้จริงขึ้นมาจากใจดวงนั้นได้ มันถึงไม่เป็นปัจจัตตังมันถึงไม่เป็นสันทิฏฐิโก มันถึงไม่ได้สำรอกคายกิเลสออกไป แล้วยิ่งปฏิบัติขึ้นไปโดยที่ไม่มีสติปัญญา มันจะกลับพอกพูนกิเลสขึ้นมาด้วยว่า เราเป็นนักปฏิบัติ เรามีคุณธรรมในหัวใจทั้งๆ ที่ไม่มีความเป็นจริง

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เรารักษาใจของเราๆทำความเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าทำความเป็นจริงสติมันก็รู้ว่าสติเวลาถ้ามันเป็นสมาธิมันก็เป็นสมาธิ แล้วถ้าเกิดปัญญา เกิดปัญญาคือจิตมันขุดคุ้ยหากิเลสเจอหากิเลสเจอ จิตเห็นอาการของจิตจิตมันกระทบ จิตมันกระทบ ขั้วบวกขั้วลบมันกระทบกัน ถ้ากระทบกันมันเป็นความตื่นเต้น มันเป็นความมหัศจรรย์ของผู้ที่ปฏิบัติใหม่มากมันเป็นความตื่นเต้นเพราะมันเป็นการเริ่มต้นว่าเราจะก้าวเดินออกไป เราจะสำรอกคายกิเลสออกไป เพราะกิเลสเป็นสังโยชน์ มันร้อยรัดสิ่งนี้ไว้ ร้อยรัดความเห็นผิดของเรา ร้อยรัดสีลัพพตปรามาสร้อยรัดความลังเลสงสัย มันร้อยรัดไปกับใจ แล้วใจปฏิบัติขนาดไหนมันก็มีความสงสัยตลอดต่อเนื่องไปถ้าไม่ได้สำรอกคายออก ถ้ามันสำรอกคายออกจิตมันต้องเป็นผู้สำรอกคายของมันออกเอง ถ้าจิตมันสำรอกคายออกเอง สิ่งนี้มันเป็นธรรมสัจธรรม

สัจธรรมดูสิ ศีล สมาธิปัญญาที่มันเกิดมรรค าณํ อุทปาทิ ปญฺา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิฯ ความเป็นปัญญา ความกระจ่างแจ้งมันจะเกิดขึ้นมาจากใจเกิดขึ้นมาจากการกระทำ เกิดขึ้นมาจากจิต จิตที่มันรู้มันเห็นของมัน

มันจับแล้วมันแยกของมันนะทำไมถึงเป็นรูปล่ะรูป รูปนี้มีเพราะมีจิต เพราะมันมีจิตจิตกระทบ มันถึงเป็นรูป ถ้าเป็นรูปเพราะมันไวมากรูปนี้มันประกอบไปด้วยอะไร ถ้าไม่มีเวทนา เราจะรู้รูปได้อย่างไร ถ้าเวทนามันไม่ชัดเจนนะ รูปมันก็มีรสชาติ อารมณ์หนึ่งก็มีรสชาติหนึ่ง มันก็คือเวทนา แล้วเวทนาจะเกิดได้อย่างไรล่ะถ้าไม่มีสัญญาข้อมูลว่าเราจะรู้จักเวทนาหรือไม่รู้จักเวทนา ถ้ารู้จักเวทนาหรือไม่รู้จักเวทนาก็แล้วแต่ ถ้ามีสัญญารับรู้แล้วสัญญาเป็นส่วนประกอบมา ถ้าส่วนประกอบมาสิ่งที่เป็นต่อไปอารมณ์ต่อเนื่องไปก็คือสังขารมันปรุงมันแต่ง แล้วอารมณ์สังขารจะปรุงแต่งไปได้อย่างไรถ้าไม่มีวิญญาณ ขันธ์ ๕ ที่รับรู้ร่วมกัน ถ้ารับรู้ร่วมกันก็หมุนไปแต่มันเร็วมากๆถ้ามันไม่เร็วมากๆเราจะไม่มีสติปัญญาได้ขนาดนี้

ดูสิ ความคิดที่เราคิดออกไปมันรู้เท่ารู้ทันหมดเลย ความคิดที่มันออกไป ความคิดของเรามันเร็วขนาดไหน แต่ขณะที่จิตมันจับเข้ามาแล้ว มันขึงพืดขึ้นมาแล้ว มันก็เหมือนเรื่องปกติธรรมดา ปกติธรรมดาเพราะอะไร เพราะจิตมันสงบเข้ามา จิตมันเร็วไง มันมีสติเห็นไหม สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดคือจิต ความเคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดคือจิต เร็วกว่าแสง ความรู้สึกนึกคิดไปเร็วมาก แล้วจิตมีสติมีปัญญาให้มันสงบระงับเข้ามาแล้วสิ่งที่สงบระงับเข้ามามันจับต้องได้ มันถึงเป็นปกติ ปกติมันถึงเป็นปัจจุบัน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา แต่ถ้าจิตมันอ่อนแอจิตมันใช้ไปแล้วพอมันเศร้าหมองจิตมันมีกำลังน้อยสิ่งที่เป็นความคิดมันก็ฉุดไปแล้วพิจารณาไม่ได้ สิ่งที่ละเอียดมากมันเป็นความมหัศจรรย์

พิจารณากายก็เหมือนกันถ้าพิจารณากายสิ่งที่เรารำพึงขึ้นมาที่ว่ามันเป็นสัญญาๆ สัญญาถ้ากิเลสเอามาใช้เป็นสัญญา มันก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นความรู้ความเห็นของมัน แต่ทีนี้สมาธิ สมาธิคือจิตที่เป็นสัมมาสมาธิจิตที่เป็นธรรม จิตที่เป็นธรรมเอาสัญญาที่ว่าเป็นสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิดในใจ สัญญาเหมือนกัน เอามาตั้งไงเอามาตั้ง รำพึงถึงกาย รำพึงถึงกายถ้ามันรำพึงได้ ให้มันแปรสภาพไปให้มันอืด ให้ขึ้นพุขึ้นพองขึ้นมาให้เราดูขึ้นมา ให้เราเห็นของเราขึ้นมาพอเห็นขึ้นมา นี่คือปัญญา ปัญญามันได้ใคร่ครวญ มันแยกแยะ มันทำลายของมันไปมันมหัศจรรย์มากกว่าธรรมะลักไก่

ธรรมะลักไก่ที่เวลาแสดงธรรมกันโดยกิเลสมันลักไก่เขามา แล้วก็เป็นธรรมะลักไก่ พูดออกมานะ ไม่มีรสไม่มีชาติ แต่ผู้ที่เราประพฤติปฏิบัติเราไปฟัง เราก็ว่าอืม! มันพูดเหมือนกัน มันเหมือนกันแต่มันไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีที่มาที่ไปมันก็เหมือนสิ่งที่ไม่มีคุณค่า นี่ธรรมะลักไก่

แต่ถ้าเราไปฟังสิ่งนั้นมา เราฟังเพื่อสดับสติปัญญา เวลาฟังเทศน์นะ ฟังเทศน์เป็นคติธรรม เป็นสดับปัญญา เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศน์นะเทศน์ขึ้นมาเพื่อให้จิตของเราเกาะ ใครฟังธรรมๆ เกาะสิ่งนี้ไปหลวงตาท่านบอกว่าเวลาหลวงปู่มั่นเทศน์ มรรคผลนิพพานหยิบเอาได้เลย เพราะจิตใจท่านมีธรรมเหนือโลกในใจท่านพูดออกมามันมีเหตุมีผล มีขั้นมีตอนของมันเป็นชั้นเป็นตอนของมันขึ้นไป

แต่ของเราล่ะ ของเราเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เราไปฟังที่ธรรมะลักไก่ ก็พูดเหมือนกัน พูดเหมือนกันเพราะอะไร พูดเหมือนกันเพราะมันมีทางวิชาการให้เราศึกษาไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะพูดเหมือนกัน แล้วมีเหตุมีผลด้วย มีเหตุมีผลด้วย แล้วเข้าใจด้วย แล้วมันมีที่มาที่ไปด้วยมีที่มาที่ไป แล้วเวลาเทศนาว่าการไป ผู้ที่ฟังธรรมๆ ที่เขาฟังธรรมเราอยู่นี่ ก็ต้องการให้เขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไปอย่างนี้ ถ้ามันมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป จิตดวงนั้นมันจะพัฒนาขึ้นมา

จากจิตที่ล้มลุกคลุกคลานจากจิตที่มันไม่มีกำลังของมัน มันก็ทำความสงบของใจเข้ามาให้มีกำลังขึ้นมา ถ้ามีกำลังแล้วพยายามฝึกหัดจุดประกายให้ได้ให้ออกวิปัสสนาให้เป็น ถ้าออกวิปัสสนาเป็นได้ขั้วบวกขั้วลบมันกระทบกันแล้วมันจะมีพลังงานขึ้นมา ระหว่างกิเลสกับธรรมจะต่อสู้กันในหัวใจนั้น ถ้ากิเลสกับธรรมมันแย่งชิงหัวใจนั้นเป็นที่สถิตของธรรมๆ

แต่นี้กิเลสมันสถิตอยู่ในใจของเราไง กิเลสมันสถิตอยู่ในใจแต่ด้วยอำนาจวาสนาบารมี เราถึงมีศรัทธามีความเชื่อที่ออกมาประพฤติปฏิบัติกันแล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา นี่อำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมีเป็นความเชื่อ เป็นโอกาส ถ้าเป็นโอกาส ถ้าปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมา จากอำนาจวาสนาบารมีมันก็เป็นธรรมแล้วพิจารณาแยกแยะของมันไปบ่อยครั้ง ถ้าโดยปัญญาอบรมสมาธิ โดยปัญญาวิมุตติ พิจารณาซ้ำพิจารณาซากพิจารณาเปรียบเทียบขึ้นมา มันจะปล่อยนะ ปล่อยบ่อยครั้งมาก พอปล่อยบ่อยครั้งสุกขวิปัสสโก ผู้ที่ปฏิบัติโดยปัญญาวิมุตติ นี่สุกขวิปัสสโก สิ่งที่ทำมันจะทำต่อเนื่องกันไป มันไม่ต้องไปมีฌานมีญาณอะไรก็แล้วแต่ ทำของเราไป

สิ่งที่เป็นปัญญามันเป็นธรรมาวุธ มันเป็นสัจธรรมในหัวใจเรารู้เราเห็นของเราอยู่แล้วพิจารณาแยกแยะไปบ่อยครั้งเข้ามันพิจารณาซ้ำแล้วมันปล่อยขนาดไหน อย่าชะล่าใจ เพราะขณะที่ว่าถ้าเป็นตทังคปหาน เวลาปล่อยแล้วนะเวลามันเสื่อมนะพอสมาธิมันเสื่อมลง ปัญญาอย่างนั้นจะเกิดไม่ได้ปัญญาอย่างที่จะรู้เท่ารู้ทัน รู้เท่ารูปเวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณรู้ทันไม่ได้ เพราะกำลังมันไม่เท่ากัน

ความเร็วไงความเร็วของรถที่มันแตกต่างกันตามอย่างไรก็ไม่ทันหรอก ถ้าความเร็วของรถนะเครื่องแตกต่างกัน กำลังแตกต่างกัน แข่งกันทีไรก็แพ้ทุกที ถ้าจิตมันเสื่อมแล้ว กิเลสมันไวกว่า กิเลสมีกำลังมากกว่า มันชนะทุกทีแหละแล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ เราก็ต้องปรับปรุงเครื่องยนต์ของเราให้มันเสมอกันปรับปรุง ปรับปรุงคุณภาพให้เหมือนกัน ถ้าปรับปรุงคุณภาพให้เหมือนกันปล่อยวางสิ่งนั้นแล้วกลับมาทำความสงบของใจให้มากขึ้น ให้กำลังของจิตมีกำลังมากขึ้น พอจิตมีกำลังมากขึ้นเครื่องยนต์เท่ากันเครื่องยนต์บางทีมีกำลังมากกว่าด้วย

เวลาผู้ที่มีครูบาอาจารย์นะท่านประพฤติปฏิบัติไป ถ้าสมาธิเข้มแข็งสมาธิแก่กล้าเวลาพิจารณากายนะ กายจะใสให้มันเป็นไตรลักษณ์ ให้มันพุพอง มันไม่เป็นมันไม่เป็น นี่สมาธิแก่ไปก็มี

แต่ผู้ที่ปฏิบัติเวลาปฏิบัติมันล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้ เวลาสมาธิไม่มีกำลังขึ้นมา สิ่งใดทำแล้ว เครื่องยนต์ไม่เท่ากัน แพ้ทุกทีเร่งอย่างไรก็สู้ทันไม่ได้ แต่เวลาเครื่องยนต์ เวลาเราทำสมาธิจนแก่กล้า สมาธิจนใสสะอาด มันก็เป็นไตรลักษณ์ไม่ได้เหมือนกัน จิตมันไม่พุไม่พอง ไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด เราพิจารณาซ้ำๆๆ เข้าไปประสบการณ์อย่างนี้ต้องเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านมาแล้วถ้าประสบการณ์อย่างนี้ แต่ถ้าเราไม่มีประสบการณ์อย่างนี้ เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจใสๆใจมันดี เราก็บอกว่าสมาธิเราแก่เกินไปแล้ว ใจเห็นแสงสว่างเห็นต่างๆ...ไม่ใช่ ไม่ใช่กำลังหรอก มันเป็นออกรู้ จิตมันออกรู้นะ ออกรู้นิมิต ออกรู้ต่างๆสิ่งที่ออกรู้ เห็นใสๆ ต่างๆ มันไปรู้ความใสแล้ว ถ้าจิตมันไม่รู้ มันจะเห็นความสว่างไหม ถ้าจิตไม่รู้ จะเห็นความใสนั้นไหม นี่มันไม่ใช่กำลัง มันไม่ใช่

แต่ถ้าสมาธิที่มันแก่กล้าขึ้นมา มันมีกำลังของมัน เวลามันไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นจนแบบมันใสไปหมด อันนั้นเพราะกำลังมันมากเกินไป มากเกินไป เราพิจารณาบ่อยครั้งเข้า พอกำลังมันมาก เราใช้จ่ายไปเดี๋ยวก็กลับมาสมดุล ถ้าคนเป็นพิจารณาซ้ำพิจารณาซากจนถึงที่สุดนะ มันปล่อยวางขนาดไหนก็พยายามกระทำต่อเนื่องๆความต่อเนื่อง มีอย่างเดียวเท่านั้นขิปปาภิญญา ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย

แต่พวกเราถ้าปฏิบัติรู้ง่าย มันต้องสมุจเฉทปหานสิ ถ้าปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เราก็ต้องรู้ความเป็นจริงขึ้นมาสิ นี่มันล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่เผลอไม่ได้เลยเผลอ ถอยกรูดๆอย่างนี้ อย่างนี้มันปฏิบัติง่ายรู้ง่ายได้อย่างไร อย่างของเรามันปฏิบัติยากรู้ยาก ถ้าปฏิบัติยากรู้ยากยากเพราะอะไรยากเพราะธรรมมันอ่อนแอ กิเลสมันเข้มแข็ง ทำทีไรก็น้อยเนื้อต่ำใจทำอย่างไรก็สักแต่ว่าทำ ทำอย่างไรอ่อนแอไปตลอดเลย มันยากยากเพราะความอ่อนแอของเรายากเพราะอย่างนี้แต่ถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง ไม่ยาก

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงพระโสณะบ่อยพระโสณะเวลาเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เดินไปจนเลือดโชกเลย ทั้งๆ ที่พระโสณะเป็นลูกเศรษฐีนะ ถ้าพูดถึงทางโลก เขาสมบูรณ์ทุกอย่างพร้อมเลย ไปไหนนะ มีคนหามเสลี่ยงตลอด พระโสณะนี่ เพราะเท้าบางมาก เขาเป็นลูกเศรษฐีนะ เขามีทุกอย่างพร้อมทางโลก ทำไมเขามีความปรารถนามาประพฤติปฏิบัติ ปรารถนาบวชเป็นพระ แล้วเดินจงกรมจนเลือดแดงไปหมดเลย ทำไมเขามีความมั่นคงขนาดนั้น ทำไมเราไม่มีความมั่นคงขนาดนั้น ทำไมเราไม่มีความจริงใจอย่างนั้น

ถ้าเรามีความจริงใจอย่างนั้น สิ่งที่บอกว่าเวลากิเลสมันเข้มแข็ง จิตใจเราอ่อนแอ ถ้าเรามีความเข้มแข็งอย่างนั้น กิเลสมันจะมาระรานเราไม่ได้เลย มันจะมาออกลวดลายอย่างใดก็แล้วแต่เราจะมีความมั่นคงของเรา ถ้ามีความมั่นคงของเรานะ เรามีสติปัญญาแยกแยะของเรา ทำของเราทำของเรา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาได้มากน้อยขนาดไหนนั้นคือความเพียรของเราทั้งนั้น สัตว์โลกจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะความอุตสาหะ แต่เป็นสัมมา ถ้าสัมมาสมาธิความเพียรชอบงานชอบ ถ้ามันชอบธรรมของมันพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก ให้ขยันหมั่นเพียรอย่า! อย่าชะล่าใจทำด้วยความมุมานะ ทำด้วยความเข้มแข็ง ทำด้วยความเป็นจริงถ้าปล่อยวางขนาดไหนก็ทำต่อเนื่องๆ เพราะเป้าหมายมันยังตอบเราไม่ได้ เรายังไม่ถึงเป้าหมายนั้นสิ่งที่มันจะตอบกับหัวใจนี้คือเวลามันสมุจเฉทปหานเวลามันขาดนะค้นหาอย่างใดมันก็ไม่มี เพราะมันขาด

แต่เราบอกว่ามันขาด นี่ธรรมะลักไก่ มันก็จะพูดอย่างนั้นพูดอย่างนั้นทุกทีทุกคนจะเข้าข้างตัวเอง จะเข้าข้างตัวเองว่าเราปฏิบัติแล้ว ถ้ามันยังมีความสงสัยมันยังไม่ถึงที่สุดมันมีของมันน่ะแต่เพราะความอ่อนด้อยของเราประสบการณ์ของเรา ความอ่อนด้อยของเรา แต่ถ้ามันมีความเข้มแข็งของเรานะ เราบึกบึนของเราไปเราขยันหมั่นเพียรของเราไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาด นี่อกุปปธรรม จะปฏิบัติช่องทางไหนก็แล้วแต่ เวลามันขาดนะ จะเป็นปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติก็แล้วแต่มันขาดเหมือนกันเพราะอริยสัจมันมีหนึ่งเดียวไง ถ้ามันขาดเหมือนกันเพียงแต่จริตนิสัยของคน มีความเพียรของคน มันแตกต่างหลากหลายกัน แต่แตกต่างหลากหลายกัน เราก็ต้องทำเพราะทำให้มันตรงกับจริตเราทำให้ตรงกับความทุกข์ความยากในใจของเราถ้ามันตรงกับความทุกข์ความยากในใจของเราให้มันได้รับรสของธรรม ได้รับรสของอกุปปธรรมตามที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกท่านสอนขึ้นมาแล้วเอารสชาติอันนี้ เอาประสบการณ์อันนี้เทียบเคียง จริงหรือไม่จริง มันเป็นจริงหรือไม่จริง มันเป็นความสุขขนาดไหน มันปล่อยวางแล้วมันรื่นเริงขนาดไหน

เวลาทำสมาธินะ เวลาสมาธิดีๆ เวลาเดินไปตัวมันเบาขนาดไหน เวลาปฏิบัติไป เวลามันปล่อยวางแต่ละหนแต่ละคราว มันมีความรื่นเริง มันมีความกระหยิ่มยิ้มย่องของใจ มันมีความว่า เราก็มีโอกาสของเราเราปฏิบัติไปแล้วพระสมัยพุทธกาลท่านก็ปฏิบัติกันแบบนี้ เราปฏิบัติเดี๋ยวนี้ เราก็ได้รสชาติอย่างนั้นเหมือนกัน มันกระหยิ่มยิ้มย่องไปตลอดนะเวลาปฏิบัติ เวลามีความสุขน่ะ แต่เวลาความทุกข์กิเลสมันขี่หัวเอามันก็ล้มลุกคลุกคลานของมันไปนี่เวลาจิตมันเสื่อมมันก็ล้มลุกคลุกคลานของมันไป

แต่เวลามันเป็นธรรมขึ้นมาในหัวใจนะ มีสมาธิขึ้นมาก็แหม! มันมีความสุขความสงบ แต่ความสุขอย่างนี้เวลามันเสื่อมแล้วมันเปรียบเทียบนะเวลาคนเคยสุขเวลามันทุกข์มันก็ทุกข์มากๆ จิตใจเวลาเราปฏิบัติของเราจิตสงบแล้วเราใช้ปัญญาของเรา ปัญญามันก้าวเดินไปแล้วมันพิจารณาของมันไปแล้วมันปล่อยวางของมันมันยิ่งมีความสุขมากเข้าไปใหญ่เลย นี่ความสุขมาก อ๋อ! จิตมันพัฒนาขึ้นมาอย่างนี้ เวลาเกิดปัญญาขึ้นมาปัญญาภาวนามยปัญญา มันไม่ใช่โลกียปัญญาโลกียปัญญาเราก็ได้ผ่านมาแล้วถ้าคนไม่ผ่านโลกียปัญญาขึ้นมา มันก็จะไม่ถึงโลกุตตรปัญญาเวลาโลกุตตรปัญญา ปัญญามันปล่อยวางอย่างนี้

ถ้ามันประมาท มันไม่ดูแลรักษา เวลามันเสื่อมลงไปมันก็ยิ่งทุกข์เหมือนกัน เวลามันสุขมันก็สุขมากๆ นะ แล้วเวลามันสุขมากๆเวลามันเสื่อมแล้วมันทุกข์แล้ว บางคนพยายามขึ้นมาไม่ได้อย่างนี้อีกถ้าไม่ได้อย่างนี้เพราะอะไรล่ะ ไม่ได้อย่างนี้เพราะบุญกุศล นี่ไง ที่เราทำบุญๆ กันอยู่นี่เวลาทำบุญ เราทำบุญ เรามีจิตที่เป็นธรรมต่อผู้อื่นเรามีน้ำใจกับคนอื่น ใครเขาจะมาเราหลีกทางให้ นี่บุญทั้งนั้นน่ะ เราไม่ต้องไปแสวงหาบุญว่าจะต้องทำ ถึงเวลาแล้วต้องทำบุญกุศลมหาศาลแล้วเราปฏิบัติต่อไป มันก็ไปติดตรงนั้นไง

บุญมันก็อยู่ที่เจตนาที่ดีของเรานี่แหละเจตนาที่ดี ทำที่ดีมันก็บุญของเราแล้ว ถ้าบุญมันเกิดขึ้นมาอย่างนี้เวลามันจะภาวนาขึ้นมา จิตใจมันอ่อน อ่อนควรแก่การงาน แล้วเวลาทำความสงบของใจ ใจมันเป็นสมาธิ ถ้าจิตมันไม่ตั้งมั่น จิตมันไม่ควรแก่การงานมันจะออกใช้ปัญญาอย่างไรงานคืออย่างไร

งานทางโลก ดูงานทางโลกก็อาบเหงื่อต่างน้ำมาเพื่อหาที่พึ่งอาศัย งานทางธรรมก็ประพฤติปฏิบัติธรรม เวลาปฏิบัติเวลาใช้ปัญญาขึ้นมา เวลางานทางโลก งานโลกียปัญญา มันก็งานทางโลก งานทางโลกคิดโดยวิทยาศาสตร์ คิดโดยจิตมันคิด คิดโดยธรรมชาติที่จิตคิดอยู่นี่ นี่โลกๆ เพราะจิตมันยังไม่ปล่อยสัญญาอารมณ์เข้ามา ถ้ามันปล่อยสัญญาอารมณ์เข้ามาปล่อยสัญญาอารมณ์ ปล่อยอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาถึงเป็นตัวมัน ถ้ามันมีสติมีปัญญา ออกฝึกหัดใช้ปัญญาเพราะปัญญาออกได้ นี่ไง นี่โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่มันแตกต่าง

คนที่ไม่ปฏิบัติมันจะรู้ได้อย่างไร คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์มันจะรู้ได้อย่างไร แต่ถ้าจิตมันมีประสบการณ์อย่างนี้ มันเห็นชัดเจนอย่างนี้ ถ้ามันชัดเจนอย่างนี้มันถึงรู้ อ๋อ! โลกียปัญญา เราผ่านมาแล้ว เราถึงปฏิบัติจนเกิดเป็นโลกุตตรปัญญา แล้วโลกุตตรปัญญาเวลามันปล่อยวางแล้ว มันปล่อยวางโอ๋ย! มันมีความสุข มันมีความรื่นเริง สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็น มันเป็นกับใจขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มันก็เป็นขึ้นมาในใจของเรา โอ๋ย! ใจทำไมมันเป็นได้ขนาดนี้ เป็นได้ขนาดนี้...นี่ธรรมะยังลักไก่อยู่นะ ถ้าธรรมะลักไก่มันไม่ใช่ธรรมะของเรานะ

พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆเวลาสมุจเฉทปหานขาด พับ! ธรรมะที่แท้จริงไม่ใช่ลักไก่ใครมาไม่ใช่สวมรอยใครไม่ได้ยึดครองธรรมะของคนอื่นมาเป็นของเรา มันเป็นขึ้นมาจากใจดวงนั้น เห็นไหมเวลาปฏิบัติขึ้นมาใจดวงใดก็แล้วแต่จะต้องปฏิบัติขึ้นมาจากใจดวงนั้นความกระทบกระเทือนกัน สังคมสิ่งที่เกิดขึ้นมา มันเกิดจากภายนอกทั้งนั้น

แต่ถ้าเราจะปฏิบัติ เราดูแลหัวใจของเราขึ้นมา แล้วหัวใจขึ้นมา ใจดวงหนึ่ง ใจดวงหนึ่งนะ ใจดวงนี้เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะมา แล้วปัจจุบันนี้เกิดมาเป็นชาวพุทธพบพระพุทธศาสนา ผู้บวชพระก็ได้ออกมาบวชพระ ผู้ที่ออกประพฤติปฏิบัติเราก็ได้ออกมาประพฤติปฏิบัติเพราะเราเห็นคุณค่าของมันฉะนั้น พอใจดวงหนึ่งเวลาปฏิบัติขึ้นมาก็จากใจดวงนั้นเท่านั้น ตาหู ลิ้น จมูก กาย ใจนั้นไปกระทบอายตนะส่งไปข้างนอก เวลาหลับตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดลิ้น ปิดต่างๆ เปิดแต่หัวใจไว้ มันก็จะปฏิบัติในใจดวงนั้น

ใจดวงนั้นล้มลุกคลุกคลานมา ใจดวงนั้นอาบเหงื่อต่างน้ำแบกหามมา ให้สงสารใจดวงนี้อย่าไปเอาพิษภัยจากข้างนอกมาให้มารกรุงรังกับใจดวงนี้มากเกินไป ใจดวงนี้เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะกี่ภพกี่ชาติมาอดีตชาติต่างๆมันสะสมจนเป็นจริตเป็นนิสัย มันมีพิษมีภัยอยู่ในตัวมันอยู่แล้ว มันมีอวิชชาอยู่ มีพิษมีภัย เรารู้ตัวเองว่าจิตใจของเรามีพิษมีภัยในใจของเรา เราจะมาประพฤติปฏิบัติเพื่อจะล้างพิษล้างภัยในใจของเรา ทำไมเราต้องเอาตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ไปกว้านเอาพิษจากในปัจจุบันนี้มาทับถมมันอีกล่ะ

เห็นไหมเวลาออกปฏิบัติครูบาอาจารย์ท่านออกปฏิบัติไปอยู่ป่าอยู่เขาอยู่องค์เดียว อยู่ผู้เดียว ก็เพื่อจะปิดตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ไม่ให้กระทบ ไม่เอายาพิษในปัจจุบันนี้มาทับถมมันอีกเพราะยาพิษจากอดีต ยาพิษจากที่มันสะสมมาในใจของเรา มันก็มีมากพอที่เราจะกำจัดล้างมันได้ยากทุกทีมาตลอดแล้ว สิ่งที่อยู่ในใจเรามันเป็นพิษเป็นภัยที่มันล้างออกได้แสนทุกข์แสนยาก เพราะมันเป็นอวิชชา มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากยึดครองหัวใจ มันทุกข์มันยากขนาดนี้แล้ว

ฉะนั้นจิตใจที่เราจะประพฤติปฏิบัติ ก็รักษาดูแลแต่ใจของเรา เพียงแต่สังคมอยู่ด้วยกันมีสติมีปัญญา มีสติปัญญายับยั้งไว้ สิ่งนั้นมันเป็นอย่างนั้น ใครทำอย่างใด เขาต้องได้อย่างนั้น ใครทำความผิดความพลาดอย่างใดกรรมย่อมให้ผลแก่ผู้ที่ประกอบกรรมนั้น กรรมต้องให้ผลผู้ที่ทำกรรมดีกรรมชั่วนั้น ทำความดีต้องได้ดี ทำความชั่วต้องได้ชั่ว ตามแต่ผลกรรมอันนั้น

แต่ของเราเราเป็นนักประพฤติปฏิบัติเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติเราอยากได้การกระทำของจิตอยากได้การกระทำ อย่างเช่นวิตกวิจารระลึกพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นการกระทำของจิต จิตมันกระทำโดยตัวของมันเอง จิตมันกระทำของมันเพื่อความสงบสุขในตัวของมันเองเวลาจิตสงบแล้วออกฝึกหัดใช้ปัญญา

โลกุตตรปัญญาเกิดจากจิตดวงนี้ จิตดวงนี้ได้พิจารณาแยกแยะธาตุ ๔และขันธ์ ๕ จิตดวงนี้ได้แยกแยะพิจารณาของมันนี่เป็นงานของจิตดวงนี้ จิตดวงนี้พิจารณาแยกแยะขึ้นมา เกิดมรรคเกิดเป็นความเพียรชอบ งานชอบ ตามความเป็นจริงของจิตดวงนี้ จิตดวงนี้ได้สำรอกได้คายกิเลสออกไปจากจิตดวงนี้ เห็นไหมงานแท้ๆ มันอยู่ที่ใจของเรา มันอยู่ที่จิตของเรา ให้มันเกิดขึ้นมาตามความเป็นจริงในใจของเรา มันจะสมกับความที่เราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงไง

ฉะนั้น เราเกิดมามันมีโอกาสมีอำนาจวาสนาอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาส มีอำนาจวาสนาอยู่แล้วนะ สิ่งใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมนุษย์ที่เกิดมามีเวรมีกรรมมาด้วยกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ฉะนั้น จิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วจิตของเราล่ะ จิตของเรา จิตวิญญาณของเรามันก็เหมือนกัน ถ้าจิตวิญญาณของเราก็เหมือนกัน ถ้าย้อนอดีตชาติไปมันก็ไม่มีต้นไม่มีปลาย

แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าผู้ใดที่ระลึกอดีตชาติได้ร้อยชาติพันชาติ หมื่นชาติแสนชาติ ห้าชาติสามชาติ อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน คนเราระลึกอดีตชาติไปได้มากได้น้อยเพราะอยู่ที่กำลังของใจได้มากได้น้อย แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา มีกำลังสูงสุด ย้อนอดีตชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด แล้วจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับจิตของเรามันแตกต่างกันตรงไหน

ถ้ามันไม่แตกต่างกันตรงไหน มันก็เวียนตายเวียนเกิดมาเหมือนกัน มันก็ไม่มีต้นไม่มีปลายมาเหมือนกัน ทีนี้ไม่มีต้นไม่มีปลายเหมือนกัน มันก็มีสิ่งที่สร้างสมมาเหมือนกัน ถ้าสร้างสมมาเหมือนกันแต่ในปัจจุบันนี้เราเอาปัจจุบัน เอาปัจจุบัน เพราะเรามีหลักชัย เรามีสติมีปัญญา เรามีหลักชัยของเรา ถ้ามีหลักชัยของเราเพราะมีเป้าหมายไง

อธิษฐานบารมีคือเป้าหมาย บารมี ๑๐ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บารมี๑๐ ทัศเต็ม ถึงได้มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นสาวกสาวกะเรามีเป้าหมาย มีเป้าหมายคืออธิษฐานบารมี ถ้ามีเป้าหมายแล้วเราจะต้องประพฤติปฏิบัติเข้าสู่เป้าหมายนั้น ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีเป้าหมาย มีอธิษฐานบารมี อธิษฐานคือเป้าหมาย แต่เราไม่ขวนขวายเราไม่ขวนขวายไม่มีการกระทำไม่มีความเพียรชอบ งานชอบขวนขวายเข้าไปมันจะเข้าสู่เป้าหมายได้อย่างไร

ฉะนั้นเวลาเราทำของเรา เราจะดูแลใจของเรา เอาใจของเราเป็นที่ตั้งแล้วรักษา สิ่งข้างนอกนะ ถ้ากิเลสหยาบๆ คือขัดอกขัดใจ ไม่ชอบสิ่งใดเลย นั้นกิเลสหยาบๆ มันจะตายต่อเมื่อมีขันติธรรม กิเลสหยาบๆ อย่างนี้ถ้ามีขันติธรรมกิเลสหยาบๆอย่างนี้เกิดไม่ได้เวลาขัดอกขัดใจสิ่งต่างๆ นี่กิเลสหยาบๆ ถ้าเราข่มกิเลสหยาบๆอย่างนี้ได้ แล้วเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราทำความสงบของใจเราได้

แล้วถ้าใจมันสงบเข้ามาแล้วพอใจมันสงบขึ้นมา ย้อนไปสิ่งที่กิเลสหยาบๆ มันจะเห็นโทษของมันเลยว่า ถ้าขาดสติเราจะไหลไปตามมัน แต่เพราะมีสติเราถึงข่มได้ด้วยขันติธรรม ขันติคือความอดทน แล้วเกิดมีสติมีปัญญาแยกแยะขึ้นมาเห็นไหม มันก็เท่านั้นเอง แค่เราเข้าใจผิดเข้าใจถูกเท่านี้ ถ้าใจเราเข้าใจ เราแยกแยะได้ ผิดถูกแค่นี้ มันปล่อยวาง แค่นี้! แต่ถ้ามันไม่มีสติปัญญา แค่นี้ มันเหยียบย่ำ มันเหยียบย่ำใจดวงนี้จนล้มลุกคลุกคลาน

แต่ถ้ามีสติมีปัญญา ครูบาอาจารย์ท่านเห็นตรงนี้ท่านถึงพยายามดูแลรักษา รักษาใจของท่านให้เป็นแบบอย่าง แล้วเราก็รักษาใจของเราเป็นแบบอย่างแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติให้ใจของเราเข้าสู่สัจจะ เข้าสู่อริยมรรค เข้าสู่ความจริง ให้ใจเรามีคุณธรรมในหัวใจ สำรอกคายกิเลสออกไปให้เป็นความจริง

ในสมัยพุทธกาล เราอ่านพระไตรปิฎกกัน เราก็อยากเป็นอยากรู้อย่างนั้นแล้วถ้าเราปฏิบัติขึ้นมามันก็เป็นมันก็รู้อย่างนั้น เพราะทุกข์สมัยพุทธกาลกับสมัยนี้เหมือนกัน แล้วทุกข์ในอนาคต เวลาพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ธรรมข้างหน้าก็มาตรัสรู้จากอริยสัจนี้เหมือนกัน เราทำ เห็นไหม ไม่มีกาลไม่มีเวลาโอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรมมาดูความเจริญรุ่งเรืองในใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญานะ แต่ถ้าเราอ่อนแอ กิเลสมันจะเหยียบย่ำเอา แล้วเราจะทุกข์จะยากตลอดไปฉะนั้น เรามีสติมีปัญญาเราจะต้องดูแลใจเราเพื่อประโยชน์กับเราเอวัง